ปัจจุบันคนทำงานมีความเครียดสะสมกันมากทำให้การทำงานนั้นทำได้ไม่เต็มที่และก่อให้เกิดปัญหาเมื่อต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นยิ่งเราสะสมความเครียดไว้มากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนเราแบกรับไม่ไหวทำให้ความเครียดกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้อีกต่อไปจริงๆแล้วถ้าเรามองสิ่งต่างๆรอบตัวเราให้ดีเราก็จะพบว่าความเครียดนั้นแก้ได้ไม่อยากเมื่อเราเกิดความเครียดทั้งจากการทำงานหรือเพื่อนร่วมงานเราก็ควรระบายให้กับคนที่เราไว้ใจฟังเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดสะสมนั้นเองเมื่อเราระบายเสร็จเราก็จะรู้ว่าความเครียดนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปความเครียดไม่สามารถทำร้ายเราได้อีกต่อไปเมื่อเรามีวิธีการจัดการกับความเครียดที่ถูกต้องดังนั้นก่อนที่เราจะแก้ปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้นเราต้องมาปรับตัวใหม่ให้เป็นคนมองโลกในแง่ดีมีทัศนคติที่ดียิ่งขึ้นเพื่อลดความเครียดลงซึ่งมีดังต่อไปนี้
1.อย่าบ่นว่าไม่ชอบงาน
ในเมื่อเราเลือกที่จะทำงานนี้แล้วเราก็ต้องทำงานนี้ต่อไปถ้าเราบ่นว่าไม่ชอบงานหรือเกลียดงานที่ทำอยู่จะยิ่งทำให้เราทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะเราคิดในแง่ร้ายตั้งแต่แรกซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีในการทำงานแม้ว่าเราจะไม่ได้ต้องการทำงานนั้นตั้งแต่แรกแต่เราก็ควรจะลองทำสิ่งแปลกๆใหม่ๆเพื่อให้เรามีประสบการณ์ในสิ่งที่เราไม่เคยทำซึ่งอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตในช่วงการเปลี่ยนงานใหม่ของเราก็ได้
2.ทำงานทุกงานอย่างเต็มที่
ไม่ว่างานอะไรที่เราได้รับมอบหมายเราก็ต้องทำมันอย่างเต็มที่ไม่ควรเลือกงานเด็ดขาดเพราะงานแต่ละงานจะเป็นตัวสอนให้เรารู้จักสิ่งใหม่ๆคนเรามักกลัวที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เพราะฉะนั้นจึงทำให้ไม่มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นดังนั้นเมื่อได้รับมอบหมายงานใหม่ๆที่ตัวเองไม่เคยทำก็ต้องตั้งใจศึกษางานเหล่านั้นบางครั้งงานเหล่านั้นอาจจะเป็นงานที่ถนัดมากกว่างานที่ทำอยู่ปัจจุบันก็ได้
3.เหนื่อยได้แต่ห้ามท้อ
การทำงานหลีกเลี่ยงความเหนื่อยไม่ได้อย่างแน่นอนแต่เมื่อเราเหนื่อยเราก็พักเพื่อให้เรากลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่ถ้าเราเหนื่อยแล้วเราไม่พักก็จะเกิดความท้อในการทำงานเกิดขึ้นเมื่อความท้อเกิดขึ้นก็จะส่งผลต่องานที่ทำอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ตัวว่าเหนื่อยก็ควรพักมากกว่าฟื้นทำโดยงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
4.ใครจะว่าอะไรถ้าเราไม่ได้เป็นแบบนั้นก็พอ
คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลกเราต้องเตรียมใจไว้เลยว่าเมื่อเราเข้าสู่โลกของการทำงานการนินทาต้องเกิดขึ้นเพราะเขาไม่รู้จักเราดีพอหรืออาจจะเป็นเพราะนิสัยของเขาแต่เมื่อเรารับรู้เข้าเราก็ไม่ควรตอบโต้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานซึ่งอาจจะส่งผลต่อหน้าที่การงานที่เราทำอยู่
5.ผิดพลาดกันได้
ความผิดพลาดเป้นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยเจอขึ้นอยู่กับว่าเราจะแก้ไขความผิดพลาดนั้นหรือปล่อยให้มันผ่านไปยิ่งเราเรียนรู้จากความผิดพลาดมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเพราะเราจะไม่ผิดพลาดอีกเลยเนื่องจากเรามีบทเรียนมาแล้วทำให้เราเก่งในการทำสิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น
อย่าคิดว่าการทำงานนั้นเราจะได้ดั่งที่หวังทุกอย่างเพราะเราเข้าไปเป็นลูกน้องเขาเราก็ต้องทำตามที่เขาสั่งทำตามวัฒนธรรมขององค์กรยิ่งถ้าเราปรับตัวได้ดีเท่าไหร่การทำงานและการอยู่ร่วมกันของเราก็จะดียิ่งขึ้นอีกด้วยช่วยให้ความเครียดในการทำงานไม่เกิดและงานที่ทำก็ทำอย่างสบายใจ
รับมือการเมืองในที่ทำงานอย่างไรดี
ปัจจุบันการเมืองได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้นถ้าเราไม่เห็นด้วยกับความคิดของคนทำงานในที่ทำงานส่วนใหญ่อาจจะทำให้เราทำงานต่อไปไม่ได้เพราะจะถูกกดดันจกาเพื่อนร่วมงานแล้วเราจะรับมือหรือวางตัวอย่างไรจึงทำให้เราสามารถทำงานต่อไปได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน
เทคนิคการรับมือการเมืองในที่ทำงาน
ปัจจุบันการเมืองได้เข้ามามีส่วนอย่างมากกับการทำงานถ้าเราเห็นด้วยกับคนส่วนใหญ่ในที่ทำงานก็แล้วไปแต่ถ้าเกิดเราเห็นต่างขึ้นมาก็จะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานร่วมกันอย่างแน่นอนและเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นที่เห็นต่างทางการเมืองกับเราได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งกันเพราะการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของคนอื่นได้อย่างแน่นอนเราจึงต้องพยายามหลีกเลี้ยงที่จะพูดคุยเรื่องการเมือง
วันนี้เราจะมานำเสนอเทคนิคในการรับมือการเมืองในที่ทำงานซึ่งมี 5 วิธีดังต่อไปนี้
1.ปรับตัว
ถ้าเราอยากทำงานอย่างมีความสุขและไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนส่วนใหญ่แม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นด้วยเราก็ต้องเห็นด้วยแต่ต้องอยู่บนความถูกต้องและไม่ผิดกฎหมายด้วย
เพื่อให้การทำงานของเราไม่มีปัญหาและทำงานได้อย่างสบายใจเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น
2.วางตัวให้เป็นกลาง
เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้งคำถามที่เกิดขึ้นมาในที่ทำงานคือเราอยู่ฝ่ายไหนเราเลือกอีกฝ่ายหนึ่งเราก็จะเกิดปัญหากับเพื่อนที่ทำงานที่ยู่อีกฝ่ายหนึ่งเพราะฉะนั้นกลางวางตัวเป็นกลางเป็นเรื่องที่สมควรทำที่สุดเพื่อให้เราไม่มีปัญหากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและเมื่อเกิดปัญหาเราจะได้เป็นคนกลางในช่วยแก้ไขปัญหาระหว่างสองฝ่ายอีกด้วยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
3.ใช้เหตุผล
การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลในการคุยกันถ้าต่างฝ่ายต่างใช้อารมณ์ก็จะมีแต่เสียกับเสียไม่มีอะไรดีขึ้นมาการเมืองในที่ทำงานเราสามารถให้สองฝ่ายที่เห็นต่างมานั่งคุยกันได้ด้วยเหตุผลเพื่อจะได้เข้าใจปัญหาที่แท้จริงที่เห็นต่างอาจจะกลายเป็นเห็นด้วยและยังช่วยให้ลดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงอีกด้วยเป็นทางออกที่ดีที่สุดเมื่อเกิดปัญหาการเมืองในที่ทำงาน
4.ลดความขัดแย้ง
บางครั้งการเมืองก็มาถึงจุดแตกหักต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูกทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานการลดความขัดแย้งจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดด้วยวิธีการใช้เหตุผลหรือให้คนที่เห็นต่างแยกออกจากกันเพื่อลดปัญหาเพราะคนที่มีปัญหาส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในที่ทำงานจึงทำให้สามารถจัดการปัญหาได้ง่ายๆ
5.ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่
สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับว่าความคิดของคนนั้นเปลี่ยนยากเราก็ต้องทำใจและปรับตัวอยู่กับมันให้ได้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการทำงานเพราะเรามาทำงานไม่ใช่มาสร้างปัญหาเพื่อให้กับตัวไม่ว่าเขาจะมีปัญหาการเมืองอะไรก็ตามเราก็แค่พยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างเท่านั้นเอง
สุดท้ายนี้เราไม่ควรเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำงานเด็ดขาดเพราะการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนกับเรื่องของศาสนาถ้าเรานำเข้ามาแล้วละก็ปัญหาก็จะเกิดเพราะความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกันอาจจะทำให้การทำงานนั้นเกิดปัญหาได้ทางที่ดีที่สุดคือพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องเหล่านี้
เทคนิคการรับมือการเมืองในที่ทำงาน
ปัจจุบันการเมืองได้เข้ามามีส่วนอย่างมากกับการทำงานถ้าเราเห็นด้วยกับคนส่วนใหญ่ในที่ทำงานก็แล้วไปแต่ถ้าเกิดเราเห็นต่างขึ้นมาก็จะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานร่วมกันอย่างแน่นอนและเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นที่เห็นต่างทางการเมืองกับเราได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งกันเพราะการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของคนอื่นได้อย่างแน่นอนเราจึงต้องพยายามหลีกเลี้ยงที่จะพูดคุยเรื่องการเมือง
วันนี้เราจะมานำเสนอเทคนิคในการรับมือการเมืองในที่ทำงานซึ่งมี 5 วิธีดังต่อไปนี้
1.ปรับตัว
ถ้าเราอยากทำงานอย่างมีความสุขและไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนส่วนใหญ่แม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นด้วยเราก็ต้องเห็นด้วยแต่ต้องอยู่บนความถูกต้องและไม่ผิดกฎหมายด้วย
เพื่อให้การทำงานของเราไม่มีปัญหาและทำงานได้อย่างสบายใจเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น
2.วางตัวให้เป็นกลาง
เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้งคำถามที่เกิดขึ้นมาในที่ทำงานคือเราอยู่ฝ่ายไหนเราเลือกอีกฝ่ายหนึ่งเราก็จะเกิดปัญหากับเพื่อนที่ทำงานที่ยู่อีกฝ่ายหนึ่งเพราะฉะนั้นกลางวางตัวเป็นกลางเป็นเรื่องที่สมควรทำที่สุดเพื่อให้เราไม่มีปัญหากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและเมื่อเกิดปัญหาเราจะได้เป็นคนกลางในช่วยแก้ไขปัญหาระหว่างสองฝ่ายอีกด้วยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
3.ใช้เหตุผล
การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลในการคุยกันถ้าต่างฝ่ายต่างใช้อารมณ์ก็จะมีแต่เสียกับเสียไม่มีอะไรดีขึ้นมาการเมืองในที่ทำงานเราสามารถให้สองฝ่ายที่เห็นต่างมานั่งคุยกันได้ด้วยเหตุผลเพื่อจะได้เข้าใจปัญหาที่แท้จริงที่เห็นต่างอาจจะกลายเป็นเห็นด้วยและยังช่วยให้ลดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงอีกด้วยเป็นทางออกที่ดีที่สุดเมื่อเกิดปัญหาการเมืองในที่ทำงาน
4.ลดความขัดแย้ง
บางครั้งการเมืองก็มาถึงจุดแตกหักต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูกทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานการลดความขัดแย้งจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดด้วยวิธีการใช้เหตุผลหรือให้คนที่เห็นต่างแยกออกจากกันเพื่อลดปัญหาเพราะคนที่มีปัญหาส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในที่ทำงานจึงทำให้สามารถจัดการปัญหาได้ง่ายๆ
5.ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่
สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับว่าความคิดของคนนั้นเปลี่ยนยากเราก็ต้องทำใจและปรับตัวอยู่กับมันให้ได้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการทำงานเพราะเรามาทำงานไม่ใช่มาสร้างปัญหาเพื่อให้กับตัวไม่ว่าเขาจะมีปัญหาการเมืองอะไรก็ตามเราก็แค่พยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างเท่านั้นเอง
สุดท้ายนี้เราไม่ควรเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำงานเด็ดขาดเพราะการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนกับเรื่องของศาสนาถ้าเรานำเข้ามาแล้วละก็ปัญหาก็จะเกิดเพราะความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกันอาจจะทำให้การทำงานนั้นเกิดปัญหาได้ทางที่ดีที่สุดคือพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องเหล่านี้
5 เหตุผลที่ทำให้คนอยากลาออกหรือเปลี่ยนงาน
เพราะอะไรคนถึงอยากออกจากงานหรือเปลี่ยนงาน
5 เหตุผลที่ทำให้คนอยากออกจากงานหรือเปลี่ยนงาน
1.หัวหน้า
2.เพื่อนร่วมงาน
3.ลักษณะการทำงาน
4.รายได้ที่ได้รับ
5.ความมั่นคงของบริษัท
1.หัวหน้า
การทำงานร่วมกับหัวหน้าที่เอาดีเข้าตัวเองและเข้าไม่ดีให้ลูกน้องเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนอยากเปลี่ยนงานเพราะทนกับแรงกดดันไม่ไหวทั้งๆที่ทำงานเต็มที่ก็ไม่เคยได้รับการชื่นชมจากหัวหน้าหรือได้รับรางวัลอะไรเลยแถมเมื่อทำงานผิดพลาดความผิดทั้งหมดก็ยังมาตกอยู่ที่ตัวเราคนเดียวซึ่งบางครั้งไม่ใช่ความผิดของเราเลยด้วยซ้ำไป
2.เพื่อนร่วมงาน
การทำงานต้องทำเป็นทีมแต่เมื่อเราทำงานร่วมกับคนอื่นบางครั้งก็เจอคนประเภทที่เอาดีเข้าตัวเองแต่งานไม่ทำหรือพวกประเภททำงานเอาหน้าซึ่งทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้เพราะทำงานไปก็ถูกแย่งความดีความชอบไป
3.ลักษณะการทำงาน
ก่อนจะเริ่มงานเราก็รู้คร่าวๆแล้วว่าต้องทำงานอย่างไรบ้างแต่พอทำงานจริงๆกลับถูกใช้ให้ทำงานมากกว่าที่ควรได้รับแถมยังได้รายได้เท่าเดิมทำให้พนักงานบางคนถึงกับลาออกเพราะทนสภาพการทำงานที่หนักเกินไปไม่ไหวและยังไม่ได้ค่าตอบแทนอีก
4.รายได้ที่ได้รับ
จริงอยู่ที่บริษัทเป็นคนกำหนดรายได้ที่ได้รับของพนักงานซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสามารถด้วยแต่บางบริษัทมีการจ่ายเงินเดือนล่าช้าหรือไม่มีโบนัสปลายปีซึ่งทำให้พนักงานไม่พอใจเพราะส่วนใหญ่แล้วการจ่ายเงินต้องตรงเวลาและควรมีค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานบ้าง
5.ความมั่นคงของบริษัท
เริ่มแรกบริษัทอาจจะดำเนินธุรกิจไปได้สวยแต่ต่อมาเกิดประสบปัญหาด้านการเงินจึงเป็นสาเหตุให้พนักงานไม่มั่นใจในตัวบริษัทจึงเป็นเหตุให้ต้องลาออก
5 เหตุผลที่ทำให้คนอยากออกจากงานหรือเปลี่ยนงาน
1.หัวหน้า
2.เพื่อนร่วมงาน
3.ลักษณะการทำงาน
4.รายได้ที่ได้รับ
5.ความมั่นคงของบริษัท
1.หัวหน้า
การทำงานร่วมกับหัวหน้าที่เอาดีเข้าตัวเองและเข้าไม่ดีให้ลูกน้องเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนอยากเปลี่ยนงานเพราะทนกับแรงกดดันไม่ไหวทั้งๆที่ทำงานเต็มที่ก็ไม่เคยได้รับการชื่นชมจากหัวหน้าหรือได้รับรางวัลอะไรเลยแถมเมื่อทำงานผิดพลาดความผิดทั้งหมดก็ยังมาตกอยู่ที่ตัวเราคนเดียวซึ่งบางครั้งไม่ใช่ความผิดของเราเลยด้วยซ้ำไป
2.เพื่อนร่วมงาน
การทำงานต้องทำเป็นทีมแต่เมื่อเราทำงานร่วมกับคนอื่นบางครั้งก็เจอคนประเภทที่เอาดีเข้าตัวเองแต่งานไม่ทำหรือพวกประเภททำงานเอาหน้าซึ่งทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้เพราะทำงานไปก็ถูกแย่งความดีความชอบไป
3.ลักษณะการทำงาน
ก่อนจะเริ่มงานเราก็รู้คร่าวๆแล้วว่าต้องทำงานอย่างไรบ้างแต่พอทำงานจริงๆกลับถูกใช้ให้ทำงานมากกว่าที่ควรได้รับแถมยังได้รายได้เท่าเดิมทำให้พนักงานบางคนถึงกับลาออกเพราะทนสภาพการทำงานที่หนักเกินไปไม่ไหวและยังไม่ได้ค่าตอบแทนอีก
4.รายได้ที่ได้รับ
จริงอยู่ที่บริษัทเป็นคนกำหนดรายได้ที่ได้รับของพนักงานซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสามารถด้วยแต่บางบริษัทมีการจ่ายเงินเดือนล่าช้าหรือไม่มีโบนัสปลายปีซึ่งทำให้พนักงานไม่พอใจเพราะส่วนใหญ่แล้วการจ่ายเงินต้องตรงเวลาและควรมีค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานบ้าง
5.ความมั่นคงของบริษัท
เริ่มแรกบริษัทอาจจะดำเนินธุรกิจไปได้สวยแต่ต่อมาเกิดประสบปัญหาด้านการเงินจึงเป็นสาเหตุให้พนักงานไม่มั่นใจในตัวบริษัทจึงเป็นเหตุให้ต้องลาออก
แนะนำอาชีพที่เกี่ยวกับ IT
ปัจจุบันตลาดงานของไอทีมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างมากแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสายงานไอทีไหนที่ตลาดต้องการในปัจจุบัน
อาชีพที่เกี่ยวกับ IT
ในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างมากทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้วไม่ว่าจะด้านการดำรงชีวิตหรือด้านอาชีพการงานก็ตามปัจจุบันถูกเรียกว่าเป็นยุคของไอทีทุกคนในสังคมจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอทั้งการใช้อินเทอร์เน็ตคอมพิวเตอร์และมือถือ
จากการสำรวจตลาดงานไอทีในปัจจุบันมีความต้องบุคคลที่มีความรู้ความสามารถดังต่อไปนี้
1.ERP (Enterpise Resources Planning)
2.SAP (Software Application Products)
3.นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
4.วิศวกรเครือข่าย(Network Engineering)
บุคคลที่มีความสามารถข้างต้นจะสามารถหางานได้งานได้ง่ายขึ้นเพราะตลาดงานต้องการมากแต่ต้องไม่ลืมว่าตลาดงานไอทีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเราจำเป็นต้องติดต่อสถานการณ์อยู่เสมอเพื่อเื่อความรู้ความสามารถที่ทำให้เราหางานได้งานยิ่งขึ้นทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจสังคมและการเมืองอีก
ความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่สายงานไอทีต้องมีคือความสามารถด้านภาษาอังกฤษทั้งการฟังพูดอ่านเขียนเพราะในอีกไม่นานเราก็จะเข้าสู่ AEC ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านเรานั้นสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เก่งถ้าเราไม่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษไปสู่กับเขาเราก็จะถูกแย่งงานอย่างแน่นอนในทางกลับกันถ้าเรามีความสามารถด้านไอทีและมีความรู้ภาษาอังกฤษโอกาสในการหางานของเราก็จะมีมากขึ้นเพราะบริษัทที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศของเราต้องการคนที่สามารถสื่อสารภาษากลางหรือภาษาอังกฤษได้ไม่ต้องมานั่งฝึกอบรมทำให้เสียงบประมาณเพิ่มเติมอีกซึ่งช่วยให้บริษัทไม่จำเป็นต้องสูญเสียเงินในสิ่งที่ไม่จำเป็นสู้เอาคนที่มีความรู้ความสามารถในสิ่งที่ต้องการมาเลยจะดีกว่า
เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมากขึ้นจะเห็นได้ว่ามีการทำธุรกิจในด้านที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน 2 - 3ปีที่ผ่านมากเป็นเหตุให้งานในด้านเทคโนโลยีเป็นงานที่หาได้ง่ายมากยิ่งขึ้นยิ่งถ้าเรามีความรู้ความสามารถมากโอกาสที่จะได้เงินเดือนเริ่มต้นสูงก็มีอยู่สูงทีเดียวโดยไม่จำเป็นต้องทำให้งานนานๆเพื่อการขึ้นเงินเดือนเพียงแต่เรามีความสามารถที่บริษัทต้องการก็พอสุดท้ายนี้เราต้องไม่ลืมว่าเทคโนโลยีเป็นดาบสองคมเราต้องเลือกใช้มันให้ถูกกฎหมายและถูกศีลธรรม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)