หางาน

ตกงาน!!ทำยังไงต่อไป

 
การตกงานเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุทั้งเกิดจากตัวเราเองหรือจากบริษัทแต่ยังไงก็เป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดเพราะผลเสียที่ตามมานั้นมีมากมายทั้งขาดรายได้แถมยังต้องหางานใหม่ให้เร็วที่สุดอีกแต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องตั้งสติให้ดีก่อนจะทำอะไรสิ่งที่ควรทำหลังจากตกงานมีดังต่อไปนี้

1.มีสติ
ถึงแม้ว่าเราเครียดแค่ไหนกับปัญหาที่เกิดจากการตกงานทั้งหนี้ทั้งการขาดรายได้แต่เราต้องคิดเสมอว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอไม่ควรคิดสั้นควรคิดถึงคนรอบข้างว่าจะเป็นยังไงถ้าขาดเราไปจากนั้นก็เริ่มคิดถึงสิ่งต่างๆว่าควรแต่ปัญหาอย่างไรแล้วค่อยๆแก้ปัญหาไปทีละข้อเมื่อเราแก้ปัญหาทุกอย่างจนจบเราจะพบว่าเราเป็นใหม่ที่สามารถเผชิญกับทุกปัญหาได้โดยไม่หวั่นเกรงอะไรอีกต่อไป

2.เปลี่ยนปัญหาให้เป็นสิ่งที่ดี
การตกงานถึงแม้จะเป็นสิ่งที่แย่แต่เราก็ควรคิดในทางกลับกันว่าเราจะได้พักผ่อนการจากทำงานที่เหนื่อยมาโดยตลอดเราอาจจะเครียดกับการทำงานมากเกินไปเราก็ใช้เวลานี้ในการผ่อนคลายเพื่อเตรียมพร้อมกับการไปทำงานในที่ใหม่อาจจะไปออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพที่เคยแย่ของเราดีขึ้นกินอาหารที่เราอยากกินเพื่อให้สุขภาพจิตนั้นสดใสอีกครั้งเป็นต้น

3.ไม่คิดมากเกี่ยวกับคำพูดคนอื่น
เรื่องที่เราตกงานอาจจะเป็นประเด็นให้คนอื่นๆพูดถึงอยู่สักพักแต่เราต้องไม่ไปตอบโต้ต้องแสดงความเป็นผู้ใหญ่และพร้อมจะเผชิญปัญหาทุกอย่างอยู่เสมอเพราะคำพูดคนอื่นเราไม่จำเป็นต้องไปสนใจแค่สนใจคนที่เราแคร์ก็พอแล้วถ้าเกิดเราไปมีปัญหากับคนที่พูดเรื่องตกงานของเราแล้วละก็ประวัติของเราจะดูไม่ดีเพราะฉะนั้นจงท่องไว้เสมอว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า

4.ฝึกฝนทักษะความสามารถเพิ่มเติม
ในระหว่างรองานใหม่เราอาจจะไปศึกษาภาษาเพิ่มหรือความสามารถต่างๆเพื่อใช้ประกอบในการสมัครงานเผลอๆเราอาจจะได้งานที่ดีกว่างานที่เก่าเพราะความสามารถที่เราฝึกฝนเพิ่มเติมในระหว่างว่างงานต้องคอยบอกกับตัวเองเสมอว่าคนที่มีความสามารถนั้นหางานได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีความสามารถอะไรเลย

 การตกงานถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเองเพราะฉะนั้นถ้าเราไม่อยากตกงานเราก็ต้องตั้งใจทำงานแต่ถ้าเกิดเราหลีกเลี่ยงที่จะตกงานไม่ได้และอยากจะหางานใหม่อย่างรวดเร็วเพื่อจะได้ไม่ต้องขาดรายได้เราอาจจะลงประวัติไว้กับเว็บไซต์หาคนทำงานเพื่อให้เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งในการให้เราได้งานเร็วยิ่งขึ้น


หางานจากการที่มีเพื่อนเยอะ

การที่มีเพื่อนเยอะเป็นตัวช่วยที่สำคัญอีกอย่างนึงในการหางานเพราะในปัจจุบันงานนั้นหายากมากยิ่งขึ้นเพราะมีการแข่งขันสูงอีกทั้งยังมีการใช้เส้นสายอีกมากมายทำให้เราไม่ได้งานที่หวังไว้แต่ถ้าเรามีคนที่รู้จักหรือเพื่อนเยอะแล้วละก็ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปว่าจะตกงานเพราะเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักเนี่ยแหละจะเป็นตัวช่วยให้เราได้งานที่หวังไว้เรามีเทคนิคอยู่สามสี่ข้อในวันนี้ในการใช้ประโยชน์จากการที่เรารู้จักคนเยอะมีเพื่อนเยอะในการช่วยหางาน ดังนี้

ติดต่อคนให้มากขึ้น ถึงแม้คุณจะเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่งแต่การที่เรารู้จักคนไว้เยอะๆถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะคนเหล่านั้นอาจจะช่วยให้เราได้งานที่หวังไว้การเอาใจการประจบถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำแต่ถ้าเกิดมันจำเป็นจริงๆเราก็ต้องทำแต่ต้องทำโดยยึดหลักไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

รับฟังทุกคำแนะนำ หลายคนต่างความคิดเราต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะให้ดีว่าสิ่งไหนเหมาะกับเราคนนึงอาจจะบอกว่าทำงานที่นี้ดีแต่อีกคนบอกว่าบริษัทนี้ไม่ดีเราไม่ควรฟังอย่างเดียวควรศึกษาหาข้อมูลด้วยว่าเป็นอย่างที่เขาบอกหรือเปล่าแล้วจึงตัดสินใจตามที่เราคิดว่าสมควร

ประกาศถึงความต้องการของคุณ บอกเพื่อนๆคุณว่าคุณกำลังหางานอะไรอยู่เพื่อนๆอาจจะช่วยคุณได้ถึงแม้ไม่มากแต่มันอาจจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คุณได้เข้าไปทำงานนั้นๆถ้าเกิดคุณได้รับเลือกเข้าทำงานอาจจะมีน้ำใจเล็กน้อยๆเช่นเลี้ยงข้าวหรือซื้อของให้อะไรก็ว่าไปเพียงแต่ต้องไม่ลืมบุญคุณถึงแม้เขาไม่ได้ร้องขอก็ตาม

ไม่ขอความช่วยเหลือมากจนเกินไป การขอความช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ทำได้แต่ต้องเกรงใจคนที่เรากำลังขอความช่วยเหลือด้วยต้องสังเกตด้วยว่าเพื่อนของเราว่างหรือไม่ต้องหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการขอความช่วยเหลือและการขอความช่วยเหลือนั้นต้องไม่เดือดร้อนเพื่อนของเรา

ให้เพื่อนแนะนำเรา เรารู้จักเพื่อนของเราแล้วก็ควรให้เพื่อนของเราช่วยบอกเพื่อนของเพื่อนต่อไปอีกพลังในการบอกปากต่อปากเป็นสิ่งที่สำคัญถ้าเกิดเราได้รับความช่วยเหลือจากใครก็ตามถึงแม้จะไม่ใช่เพื่อนเราก็ควรจะขอบคุณเพื่อนที่ช่วยเป็นธุระให้ด้วย
เทคนิคข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในเทคนิคการสมัครงานถ้าเรามีเพื่อนเยอะอย่าลืมใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นแต่ต้องไม่ลืมว่าการให้เพื่อนช่วยหางานให้ต้องตั้งอยู่บนความพอดีไม่ขอจนมากเกินไปเด็ดขาด

บุคลิกภาพอย่างคุณเหมาะกับอาชีพอะไร

 
งานแต่ละอย่างเหมาะสมกับคนแต่ละบุคลิกภาพคนหนึ่งอาจจะทำงานนี้ได้ดีแต่อีกคนอาจจะทำได้ไม่ดีขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างทั้งความชอบความสามารถและอะไรอีกหลายๆอย่างรวมทั้งบุคลิกภาพบุคลิกภาพคืออะไรบุคลิกภาพคือตัวตนที่แสดงออกภายนอกเช่นคุณมีบุคลิกภาพที่ชอบพูดคุยชอบสื่อสารในโลกนี้แบ่งบุคลิกภาพออกได้เป็นหลายแบบซึ่งแต่ละแบบก็เหมาะสมกับงานที่ต่างกัน ดังต่อไปนี้

บุคลิกภาพที่ชอบการสื่อสารพูดคุย
คนที่บุคลิกภาพในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเหมาะสมกับงานประเภทการติดต่อสื่อสารเช่นsale พนักงานต้อนรับหรืองานประเภทที่เกี่ยวข้องกับการพูดคุยกับลูกค้าเช่นAEเป็นต้นงานพวกนี้ต้องอาศัพทักษะในการพูดสูงเพื่อใช้ในการโน้นน้าวใจลูกค้าซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการติดต่อธุรกิจในปัจจุบันเพราะลูกค้าต้องการความเอาใจใส่จากคนที่จะจ้างงานถ้านายจ้างใช้คนที่มีทักษะในการสื่อสารไปพบลูกค้างานที่ทำก็ราบรื่น

บุคลิกภาพที่ชอบศิลปะและอยากได้อิสระในการทำงาน
บุคลิกประเภทนี้เหมาะสมกับงานประเภทการออกแบบวาดรูปเช่นศิลปินเป็นต้นการทำงานจะเน้นการทำงานในที่เงียบๆเพื่อให้เกิดสมาธิสถาปัตย์ก็ถือเป็นอีกอาชีพที่เหมาะสมกับคนที่มีบุคลิกภาพเช่นนี้เพราะการทำงานของสถาปัตย์ต้องใช้ความคิดความอ่านในการออกแบบสูงคนที่จะทำงานประเภทนี้ได้ต้องเก่งในเรื่องจินตนาการเพราะต้องนำไปใช้ในการทำงานอยู่มากทั้งการออกแบบการเขียนแบบเป็นต้น

บุคลิกภาพที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ชอบการทดลองชอบการคำนวณ
คนที่มีบุคลิกภาพดังนี้ส่วนใหญ่จะทำงานในด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์เป็นต้นเช่นนักวิทยาศาสตร์ นักเคมีนักฟิสิกส์นักคณิตศาสตร์การทำงานจะเน้นการคำนวณและการทำการทดลองเป็นหลักต้องใช้สมองอย่างมากในการทำงานเหล่านี้อัจฉริยะในอดีตส่วนใหญ่ก็มีบุคลิกภาพแบบนี้ชอบการค้นคว้าและทดลองข้อดีอีกอย่างของคนบุคลิกภาพแบบนี้คือไม่ยอมแพ้อะไรได้ง่ายๆ

บุคลิกภาพที่ชอบการท่องเที่ยวการเดินทาง
คนประเภทนี้จะชอบเดินทางไปที่ไหนไกลๆชอบถ่ายรูปเหมาะกับงานไกด์นำเที่ยวเป็นต้นการเดินทางเป็นสิ่งที่คนเหล่านี้ชอบได้พบที่ใหม่ๆได้เจอผู้คนซึ่งบุคลิกที่ติดมากับคนประเภทนี้คือการสื่อสารที่เก่งเพราะต้องแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆให้นักท่องเที่ยวซึ่งการที่จะทำงานเป็นไกด์นำเที่ยวได้นั้นต้องเก่งเรื่องภาษาอีกด้วยเพราะนักท่องเที่ยวจะมาจากหลายชาติหลายภาษา

บุคลิกภาพที่ชอบการเสียสละและช่วยเหลือผู้อื่น
บุคคลประเภทนี้จะเหมาะสมกับงานที่ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเช่นหมอพยาบาททหารตำรวจอาสาสมัครกู้ภัยการทำงานประเภทนี้ต้องเสียสละเวลาในชีวิตส่วนตัวไปเพราะต้องไปทุมเทกับงานที่ทำอย่างมากเหมาะกับคนที่ไม่มีครอบครัวหรือครอบครัวเข้าใจว่าทำงานไม่เช่นนั้นงานที่ทำจะส่งผลเสียต่อครอบครัวอย่างแน่นอน
บุคลิกภาพข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในอีกหลายๆบุคลิกภาพคุณควรที่จะรู้ตัวก่อนว่าเราเป็นคนที่บุคลิกภาพยังไงแล้วจึงไปหางานในตรงกับที่ตัวเองต้องการการสมัครงานไม่ใช่เรื่องยากแต่การทำงานให้ดีให้เหมาะสมกับบริษัทที่หาคนทำงานนั้นพอใจนั้นเป็นเรื่องยาก

 


สิ่งที่จำเป็นต้องมีในการทำงาน

การที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้นมีปัจจัยอยู่หลายๆอย่างถ้าเรารู้ในสิ่งต่างๆเหล่านั้นแล้วเราก็สามารถนำมันมาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาตัวเองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในการทำงานสิ่งที่จำเป็นในการทำงานนั้นมีดังที่เราจะนำเสนอต่อไปนี้

การแก้ปัญหา
ในการทำงานปัญหาต้องมีอยู่เสมอถือว่าเป็นเรื่องปกติแต่เรื่องที่สำคัญคือเราจะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไรซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านั้นต้องไม่ส่งผลเสียใดๆต่อบริษัทและตัวเองการแก้ปัญหาต้องมีการคิดวิเคราะห์แยกแยะให้ดีว่าควรแก้ปัญหาอย่างไรเริ่มจากการคิดก่อนว่าปัญหานั้นคืออะไรตามด้วยการคิดหาวิธีในการแก้ปัญหาจากนั้นคิดถึงผลดีและผลเสียที่จะได้รับสุดท้ายก็ลงมือแก้ปัญหา

การใช้ภาษา
ในปัจจุบันภาษาที่สองถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพูดได้และยังต้องศึกษาภาษาที่สามเพิ่มเติมอีกด้วยเพราะการเปิดAECจะทำให้การแข่งขันกับต่างประเทศนั้นสูงมากยิ่งขึ้นถ้าเราอยากได้เงินเดือนที่สูงเราก็ต้องเรียนรู้ภาษาอื่นๆเพิ่มเติมเพื่อนำไปแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้การที่เราพูดได้หลายภาษาถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากในการหางานทำ

การสื่อสาร
การติดต่อสื่อสารระหว่างเพื่อนร่วมงานถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นเพราะการทำงานต้องมีการทำงานร่วมกันทำงานเป็นทีมเพื่อให้งานที่ออกมานั้นมีคุณภาพและตรงตามเป้าหมายนายจ้างในปัจจุบันจะจ้างคนที่สื่อสารได้เก่งสามารถติดต่อลูกค้าให้มาจ้างงานกับบริษัทได้ชักจูงให้ลูกค้าเลือกบริษัทของเราสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้แต่สามารถฝึกฝนได้ถ้าเรามีความสามารถในการติดต่อสื่อสารสูงแล้วละก็งานไหนๆก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

การวางแผน
การทำงานที่จะบรรลุตามเป้าหมายนั้นต้องอาศัยการวางแผนที่ดีไม่ใช่เฉพาะการวางแผนจากหัวหน้าแต่รวมถึงการวางแผนงานของเราเองเช่นเราได้งานมาหนึ่งชิ้นเราก็ต้องวางแผนว่าเราจะทำงานนี้ให้เสร็จในวันไหนและทำอย่างไรบ้างเป็นต้น

การใช้เทคโนโลยี
ปัจจุบันโลกของเราก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องของเทคโนโลยีการนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ถือว่าเป็นข้อดีอย่างนึงซึ่งมันช่วยให้การทำงานของเราสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนทั้งการนำเสนอข้อมูลการหาข้อมูลการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าเป็นต้น

การทำงานไม่ว่าจะในหน้าที่ใดๆถือว่ามีความสำคัญเท่ากันหมดเราต้องตั้งใจทำงานเพื่อให้องค์กรได้ก้าวหน้าและประสบความสำเร็จเพราะไม่เพียงแต่นายจ้างที่จะได้ประโยชน์แต่รวมไปถึงเราที่อาจจะได้โบนัสเพิ่มหรือได้เงินเดือนเพิ่ม

การทำงานในปัจจุบันมีการแข่งขันอยู่สูงมากถ้าเราเลือกหางานในหลายๆทางเลือกเราก็มีโอกาสจะได้งานมากกว่าคนอื่นๆการสมัครงานในปัจจุบันมีคนแข่งขันกันอยู่มากเพราะมีทั้งนักศึกษาจบใหม่คนว่างงานอยู่อีกเพียบถ้าเราเลือกบริษัทใหม่ๆที่กำลังหาคนทำงานอยู่ละก็เราก็มีโอกาสได้งานสูงยิ่งขึ้น




ประสบการณ์เยอะ จะหางานใหม่อย่างไรดี

จะทำอย่างไรเมื่อบริษัทที่เราทำงานมานานต้องเลิกกิจการไปการจะหางานใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเพราะด้วยอายุที่มากของเราแต่ต้องไม่ลืมว่าประสบการณ์ในการทำงานก็ยังเป็นตัวช่วยอีกตัวหนึ่งที่ช่วยให้เราหางานได้ซึ่งประสบการณ์ในการทำงานเนี่ยแหละที่เราสามารถเอาชนะคนรุ่นใหม่ได้

ประสบการณ์ช่วยคุณได้
ถึงแม้อายุเราเยอะแต่ประสบการณ์ในการทำงานก็เป็นตัวที่บอกได้ดีว่าอายุไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะในปัจจุบันถึงแม้ว่าบริษัทต่างๆต้องการคนรุ่นใหม่ไฟแรงแต่ก็ยังต้องการคนที่มีประสบการณ์เพื่อมาทำงานในตำแหน่งต่างๆที่สำคัญเช่นผู้จัดการเป็นต้น

เสนอผลงานในด้านที่บริษัทต้องการ
ถึงแม้ว่าคุณจะมีประสบการณ์มากและมีผลงานอยู่มากมายแต่ถ้าคุณเข้าไปสมัครงานใหม่ควรจจะนำเสนอผลงานในด้านที่เป็นจุดเด่นที่คุณคิดว่าบริษัทนั้นสนใจที่สุดเพราะถ้าเรานำเสนอจุดเด่นที่ไม่ตรงกับความต้องการของบริษัทบริษัทอาจจะไม่สนใจในประวัติของคุณ

ต่อรองเงินเดือนตามความสามารถ
ถึงแม้ว่าการจ้างพนักงานใหม่เข้าบริษัทของบริษัทส่วนใหญ่นั้นจะไม่ให้เงินเดือนที่สูงแต่ถ้าเรานำเสนอผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากประสบการณ์ในการทำงานของเราแล้วละก็การขอเงินเดือนสูงก็ไม่ยากอีกต่อไป

เขียนresumeใหม่
resumeเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่บริษัทจะได้รู้จักตัวเราถ้าเราเขียนแบบไม่ตั้งใจโอกาสในการถูกรับเลือกเข้าทำงานนั้นก็จะมีน้อยแต่ถ้าเราตั้งใจเขียนทั้งจุดเด่นและความสามารถที่นายจ้างสนใจลงไปresumeของเราก็จะดูน่าสนใจมากขึ้นทำให้มีโอกาสในการถูกรับเลือกเข้าทำงานนั้นสูง

ถึงแม้อายุจะมากแต่ถ้าประสบการณ์ในการทำงานของเรานั้นสูงเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรเพราะในปัจจุบันบริษัทต้องการคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่าคนที่มีอายุน้อยแต่ไม่มีประสบการณ์

เส้นทางหางานในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ

ในช่วงที่ผ่านมาประเทศของเราต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมายที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งการชุมนุมทางการเมืองการรัฐประหารหรือแม้แต่ในอดีตวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยตกต่ำผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเกิดกับคนทำงานวันนี้เราจะนำเสนอวิธีการหางานในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งมีดังต่อไปนี้


ฝึกฝนความรู้ความสามารถเพิ่มเติม
บริษัทต่างๆถ้ากำลังอยู่ช่วงวิกฤตจะเลือกรับคนเข้าทำงานอย่างรอบคอบและเลือกคนที่มีความสามารถสูงเพื่อให้คุ้มกับค่าจ้างที่จ่ายไปเพราะฉะนั้นเราเองต้องฝึกฝนหาความรู้และความสามารถเพิ่มเติมเพื่อให้ได้เปรียบคนอื่นๆในการหางานแม้ว่าจะไม่ได้นำความรู้หรือความสามารถนั้นไปใช้ประโยชน์แต่มันทำให้ประวัติของเราในสมัครงานดูโดดเด่น 

ทำงานพาร์ทไทม์
ในขณะที่เศรษฐกิจตกต่ำแต่ก็ยังมีงานพาร์ทไทม์อยู่ถึงแม้รายได้อาจจะไม่สูงเท่างานประจำแต่เราทำระหว่างที่เรากำลังหางานใหม่อยู่ก็จะไม่เสียหายอะไรแถมยังได้เงินมาใช้อีกด้วยและถ้าเกิดเราทำงานได้ดีอาจจะได้บรรจุเข้าไปเป็นพนักงานประจำ

ผูกมิตรกับทุกคน
การรู้จักคนมากก็เป็นตัวช่วยนึงที่ให้เราหางานได้ง่ายยิ่งคนเพราะบุคคลเหล่านั้นอาจจะรู้จักนายจ้างในบริษัทที่เราต้องการเข้าไปทำงานอาจจะให้เขาฝากเราเข้าทำงานโดยบอกประโยชน์ที่จะได้รับจากการที่จ้างเราเข้าทำงานเช่นเราเป็นคนขยันซื่อสัตย์และอดทน เป็นต้น

สมัครงานกับกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโต
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจใช่ว่าทุกบริษัทจะต้องตกต่ำถ้าเราหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเราจะพบว่ามีบริษัทอยู่ไม่น้อยที่เติบโตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเราอาจจะต้องลองหาข้อมูลว่าบริษัทเหล่านั้นต้องการพนักงานเพิ่มหรือไม่และหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจเพราะมีโอกาสสูงที่เราจะถูกหลอกและถูกปลดอยู่สูง

เลือกงานที่คุณถนัด
การทำงานถ้าจะให้ประสบความสำเร็จต้องงานที่เราทำอย่างตั้งใจและมีเป้าหมายโดยงานนั้นต้องเป็นงานที่เราชอบไม่ใช่โดนบังคับทำเพราะการทำงานโดยการถูกบังคับผลที่ออกจากงานนั้นจะไม่มีคุณภาพแตกต่างจากงานที่ทำโดยความสมัครใจงานที่ออกมาจะมีคุณภาพ ซึ่งงานที่มีคุณภาพนั้นเป็นสิ่งที่บอกว่าคุณสามารถทำงานนั้นได้ดีแค่ไหน

เศรษฐกิจตกต่ำมีมาจากหลายสาเหตุถ้าเราไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อให้รอดช่วงวิกฤตไปได้ลองไปฝากประวัติกับเว็บไซต์หางานทางอินเทอร์เน็ตเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยให้คุณรอดพ้นวิกฤตไปได้บริษัทต่างๆที่มีปัญหาในการลงประกาศรับสมัครงานเพราะเงินไม่พอลองใช้บริการเว็บไซต์หาคนทำงานทางอินเทอร์เน็ตดูแล้วคุณจะพบว่ามันไม่ยากอีกต่อไป

 

ทำงานอยู่ แต่อยากหางานใหม่ในระหว่างนั้น ทำอย่างไรดี

คนทำงานที่ทำงานมาเป็นเวลานานบางทีก็อยากเปลี่ยนงานขึ้นมาด้วยหลายๆเหตุผลทั้งอยากได้ความก้าวหน้าหรือมีปัญหาในที่ทำงานจนอยากเปลี่ยนงานใหม่แต่ก่อนที่จะลาออกจากงานเก่าได้นั้นเราก็มั่นใจแล้วว่ามีงานใหม่อยู่พร้อมที่เราจะเข้าทำงานการจะหางานใหม่ในระหว่างที่ทำงานอยู่นั้นแม้จะเป็นเรื่องยากแต่เพื่อความสบายใจในการทำงานจึงจำเป็นต้องทำซึ่งมีกฎอยู่ดังนี้

อย่าหางานใหม่ในเวลางาน
ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเพราะถ้าเกิดเจ้านายมาเห็นเรากำลังหางานใหม่ในเวลางานเราอาจจะถูกไล่ออกทันทีและทำให้เรากลายเป็นคนว่างงานทันที

อย่าบอกให้คนในที่ทำงานรู้
แม้แต่คนที่เราไว้ใจที่สุดอาจจะเป็นคนที่ร้ายที่สุดก็ได้เพราะเรื่องเงินๆทองๆไม่เข้าใครออกใครถ้าเกิดเราไปพูดกับคนในที่ทำงานว่าเรากำลังจะหางานใหม่แล้วเกิดคนๆนั้นอยากได้ตำแหน่งงานที่เราทำอยู่เขาอาจจะนำไปบอกเจ้านายซึ่งส่งผลให้เราถูกไล่ออกก็เป็นได้

อย่าใช้ข้อมูลของบริษัทในการหางานใหม่
ในการสมัครงานใหม่เราก็ต้องใช้อีเมลในการสมัครข้อควรระวังคือไม่ควรใช้อีเมลของบริษัทเก่าในการไปสมัครงานที่ใหม่เพราะถ้าบริษัทตรวจพบเราอาจจะถูกเรียกไปสอบถามและถูกไล่ออกก็ได้

อย่านัดสัมภาษณ์งานใหม่ในเวลางาน
ควรนัดสัมภาษณ์นอกเวลางานหรือในวันหยุดเพราะถ้าเรานัดในเวลางานเจ้านายก็อาจจะสงสัยได้ว่าเราไปทำอะไรและอาจจะถูกเรียกไปสอบถาม

อย่าคุยโทรศัพท์เกี่ยวกับการหางานใหม่ให้คนในที่ทำงานได้ยิน
ต้องไม่ลืมว่าทุกคนไม่ได้หวังดีกับเราถ้าเกิดเขาได้ยินเข้าเราอาจจะซวยก็ได้เพราะการที่เราถูกไล่ออกอาจจะส่งผลดีต่ออีกหลายๆคนเพราะฉะนั้นควรคุยเรื่องการหางานใหม่ในที่ที่ลับตาคนและแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยิน

ไม่ควรแต่งตัวดีเกินไป
ถ้าเกิดเราต้องสัมภาษณ์งานในเวลาเช้าและต้องกลับมาทำงานในเวลากลางวันเราก็ควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเข้ามาทำงานเพื่อไม่ให้คนที่ทำงานสงสัยว่าเราไปทำอะไรมาและต้องไม่ลืมว่าถ้าเราแต่งตัวดีเกินไปคนในที่ทำงานอาจจะสงสัยว่าเราไปสัมภาษณ์งานมาก็ได้


ตลาดงานในปัจจุบันต้องการคนแบบไหนกัน


ในอดีตบริษัทส่วนใหญ่จะรับคนเข้าทำงานแล้วให้มาฝึกงานก่อนจะรับเข้าทำงานจริง แต่ในปัจจุบันบริษัทต่างๆได้เปลี่ยนแนวคิดในการรับคนเข้าทำงาน จากการที่รับคนเข้ามาทำงานแล้วฝึกงานให้เปลี่ยนเป็นรับคนที่มีทักษะในการทำงานอยู่แล้วเข้ามาทำงานเพื่อลดเวลาในการสอนงานลดความเสี่ยงที่บริษัทจะได้รับจากงานที่ล้มเหลวดังนั้นผู้สมัครงานในปัจจุบันจึงต้องเข้าใจก่อนว่าบริษัทนั้นต้องการอะไรและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง5ข้อต่อไปนี้เป็นสิ่งที่บริษัทในปัจจุบันต้องการจากคนสมัครงาน

ข้อที่1 พิจารณาจากประสบการณ์ของเรา
ประสบการณ์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานอย่างมากยิ่งเรามีประสบการณ์ในการทำงานมากเท่าไร ประวัติของเราก็จะดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น HRส่วนมากจะดูประสบการณ์ของเราเป็นสิ่งแรกๆเพราะถ้าHRเลือกคนที่ไม่มีประสบการณ์มาทำงานก็จะเสียเวลาในการสอนงานและเงินทองที่ต้องใช้ถ้าเกิดเหตุผิดพลาดใดๆ ดังนั้นHRจะเลือกคนที่มีประสบการณ์สูงเข้ามาทำงานโดยเฉพาะในตำแหน่งที่สำคัญที่ต้องการคนที่มีประสบการณ์สูงเข้ามาทำงาน

ข้อที่2 พิจารณาจากเกรดเฉลี่ย
นักศึกษาส่วนใหญ่อาจจะไม่สนใจว่าเกรดเฉลี่ยของตนนั้นเป็นอย่างไรเพราะเห็นว่าไม่สำคัญแต่คุณคิดผิดเพราะเกรดเฉลี่ยนั้นเป็นสิ่งที่บริษัทพิจารณาเป็นอันดับต้นๆถ้าเกรดเฉลี่ยของเราสูงกว่าผู้สมัครคนอื่นเราก็จะมีโอกาสได้รับเลือกเข้าทำงานสูงเช่นกันเพราะฉะนั้นคนที่กำลังศึกษาอยู่ควรตั้งใจเรียนและทำเกรดเฉลี่ยให้สูงๆเข้าไว้

ข้อที่3 พิจารณจากความคิดความอ่านต่อองค์กร
องค์กรต้องการคนที่แนวคิดเหมือนกับที่องค์กรคิดเพราะมันเป็นตัวช่วยให้งานขององค์กรประสบความสำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเช่นองค์กรต้องการคิดค้นยาที่รักษาคนยากจนให้ฟรีเราก็ต้องการที่จะช่วยคนยากจน เป็นต้นส่วนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่หลายคนอาจจะมองข้ามแต่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้เป้าหมายในการทำงานนั้นประสบความสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น

ข้อที่4 พิจารณาจากบุคลิกภาพของผู้สมัคร
ในปัจจุบันไม่ว่างานอะไรก็มีการติดต่อลูกค้าอยู่เสมอสิ่งที่ทำให้ลูกค้าประทับใจเป็นอย่างแรกคือผู้ที่มาติดต่อด้วยต้องมีบุคลิกภาพที่ดีแต่งตัวสะอาดสุภาพนอบน้อมก่อนที่บริษัทจะรับใครเข้าทำงานก็เรียกมาสัมภาษณ์เพื่อสังเกตบุคลิกภาพว่าเป็นคนเช่นไรถ้าเราสอบผ่านเราก็จะได้รับเลือกเข้าทำงาน

ข้อที่5 พิจารณาจากกิจกรรมที่เคยทำมา
การทำกิจกรรมมากเป็นตัวบอกว่าคุณมีความเป็นผู้นำหรือมีความกล้าแสดงออกอยู่สูงถ้าเราเขียนมันลงไปในresumeประวัติของเราจะดูน่าสนใจยิ่งขึ้นการได้รับเลือกเข้าทำงานก็จะมีสูงมากกว่าคนที่ไม่เคยทำกิจกรรมใดๆ

ทั้ง5ข้อที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่บริษัทส่วนใหญ่ในปัจจุบันต้องการจากคนสมัครงานคนสมัครงานก็ต้องปรับตัวตามกลไกต่างๆที่เกิดขึ้นใหม่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ว่าเราจะทำอะไรเราต้องตั้งใจทำให้มากที่สุดถึงแม้ว่าการ สมัครงาน ในปัจจุบันจะเป็นเรื่องที่การแข่งขันกันสูงแต่ถ้าเราตั้งใจหางานการหางานก็ไม่ใช่เรื่องยากเพียงแค่เราต้องรู้จักสังเกตว่าบริษัทนั้นๆหาคนทำงานอยู่หรือเปล่าถ้าหาคนทำงานอยู่เราก็ต้องรีบคว้าโอกาสนั้นไว้อย่าให้มันหลุดลอยไป


งานใหม่ไม่ใช่ อยากกลับไปทำงานเก่าทำอย่างไร


การที่เราทำงานในที่ใหม่แล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่เลยอยากกลับไปทำงานที่บริษัทเก่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่คุณต้องมั่นใจว่า บริษัทเก่านั้นไม่ได้จ้างพนักงานใหม่มาแทนที่คุณและคุณมีคุณค่าพอที่จะกลับไปทำงานให้บริษัทเก่าไม่ใช่เพียงเพราะว่าคุณไม่มีทางออกอื่นมีเทคนิคง่ายๆอยู่ดังนี้


เตรียมเหตุผลให้นายจ้าง
การที่คุณออกจากงานเก่ามีทั้งหลายสาเหตุทั้งอยากได้ความก้าวหน้าหรือมีปัญหาในที่ทำงานเหตุผลที่ดีทำให้นายจ้างใจอ่อนได้ ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณนั้นมีความสำคัญต่อองค์กรคุณเพียงแค่หาเหตุผลดีๆสักสองถึงสามข้อนายจ้างก็จะรับคุณกลับเข้าทำงานเหมือนเดิม เช่นเหตุผลที่คุณต้องออกจากงานเก่า เพราะว่ามีปัญหากับเพื่อนในที่ทำงานแต่ปัจจุบันคนนั้นได้ออกไปแล้วจึงอยากกลับเข้ามาทำงานใหม่

คิดให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ
การที่คุณออกจากงานเก่าในตอนแรกมีเหตุผลอะไรคุณต้องคิดทบทวนให้ดี ถ้ากลับไปทำงานที่เก่าแล้วเจอปัญหาเดิมคุณจะทนได้หรือไม่เพราะมันอาจจะส่งผลให้คุณต้องออกจากงานอีกครั้ง แต่ถ้าคุณคิดทบทวนแล้วว่าปัญหาในที่ทำงานเก่าคุณจะแก้ไขมันได้อย่างไร ก็ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจแล้วละว่าควรจะลาออกหรือไม่ จากที่ทำงานใหม่

ให้เพื่อนร่วมงานช่วยโน้มน้าวนายจ้าง
ให้เพื่อนในที่ทำงานช่วนกันโน้มน้าวนายจ้างให้จ้างคุณกลับเข้าทำงาน บอกถึงความสามารถของเราและความสำคัญของเราตรงองค์กร ถ้าได้เรากลับมาทำงานจะมีประโยชน์อะไรบ้างการทำแบบนี้มีผลมากต่อการตัดสินใจของนายจ้าง

แสดงความสามารถของตนเอง
เมื่อได้รับกลับเข้ามาทำงานแล้วเราก็ควรแสดงความสามารถให้นายจ้างเห็นว่าคิดถูกแล้วที่รับเรากลับเข้ามาทำงาน เผลอๆถ้าเราทำงานได้ดีเราอาจจะได้รับเงินเดือนเพิ่มเป็นการตอบแทนอีกด้วย แต่ในทางกลับกันถ้าเราได้รับเลือกกลับเข้าทำงานแต่งานที่ทำนั้นแย่ลง อาจจะส่งผลให้เราโดนไล่ออกและต้องสูญเสียงานทั้งสองที่อีกด้วย

โน้นน้าวนายจ้าง
เป็นข้อที่สำคัญที่สุด ถ้าเราสามารถบอกนายจ้างให้เลือกเรากลับเข้ามาทำงานได้ด้วยตัวเองด้วยเหตุผลของเราเองโดยไม่ต้องให้คนอื่นช่วยนายจ้างก็จะเห็นถึงความตั้งใจที่เราอยากจะกลับเข้ามาทำงานให้อีกครั้ง การโน้นน้าวเราควรพูดถึงความสำคัญของเราต่อองค์กรว่าเราสามารถทำงานให้องค์กรได้ดีแค่ไหน ถ้าจ้างคนใหม่งานอาจจะเสียก็ได้ เป็นต้น






ปัญหาสำหรับคนเพิ่งเรียนจบ อายุน้อยหรือไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน

นักศึกษาจบใหม่ส่วนใหญ่จะประสบปัญหาในการหางาน เพราะว่าบริษัทส่วนมากต้องการผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงาน และมีอายุที่มาก ซึ่งทำให้นักศึกษาจบใหม่ตกงานกันเยอะนั้นเอง

นักศึกษาจบใหม่จะประสบปัญหาในการหางานมากกว่าคนที่มีประสบการณ์ ทั้งในเรื่องการสัมภาษณ์งานคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานก็ทำได้ดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนักศึกษาจบใหม่จึงไม่มีโอกาสเข้าทำงาน เพื่อที่จะเป็นผู้มีประสบการณ์ในการทำงานสักที


กลับกัน สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ในการสมัครงานมาก่อน ก็จะประสบความสำเร็จและไม่มีปัญหา เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะต้องทำอย่างไรเมื่อเราเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางานทำ วิธีที่ดีที่สุดในการแสดงให้บริษัทเห็นว่า เรามีคุณสมบัติที่เหมาะสม ผู้ที่จะไปสมัครงานควรมีคุณสมบัติดังนี้
-เดินทางไปไหนก็ได้ตามที่ได้รับมอบหมาย
-ค้นคว้าหาความรู้เพื่อนำมาพัฒนาองค์กร
-มีพลังในการทำงาน
-สามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกษ์ใช้ได้
-เรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวได้ง่าย

 สิ่งที่บริษัทต้องการจากเรา
1.ผู้สมัครต้องการจะทำงานกับบริษัทจริง
2.มีความขยันและซื่อสัตย์
3.มีรักในองค์กร
4.มีความสุภาพ

เตรียมตัวอย่างไรเพื่อหางานเมื่อเรียนจบ
การเตรียมตัวที่ดีทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง การสมัครงานก็เช่นกัน การที่เราศึกษาข้อมูลก่อนสมัครงาน จะทำให้เรารู้ว่าบริษัทนั้นทำเกี่ยวกับอะไรมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรงานที่เราจะสมัครนั้นเหมาะสมกับเราหรือไม่ เพราะถ้าเราไม่ศึกษาข้อมูลให้ดี แล้วเราได้รับเลือกเข้าทำงาน เราอาจจะทำงานได้ไม่บรรลุเป้าหมายของบริษัท มีส่วนให้ถูกไล่ออกและต้องมานั่งหางานใหม่อีกครั้ง

ค้นหาตัวเอง
ก่อนที่จะสมัครงานหรือเลือกแนวทางอาชีพใดๆ เราควรจะรู้ตัวเองก่อนว่าชอบทางด้านไหน ชอบทำอะไรโดยศึกษาจากชีวิตประจำวัน เช่น นายAชอบเล่นคอมพิวเตอร์มากและรู้ว่าตัวเอง มีความสามารถในด้านนี้เป็นพิเศษ จึงได้เลือกเรียนทางด้าน IT และพอจบมานาย A ก็เลือกที่จะทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ถ้าเรารู้ตัวเองว่าเราชอบอะไรเราก็ต้องพยายามทำมันให้เต็มที่

ความสามารถ/ผลงาน
ความสามารถพิเศษนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เราพิเศษกว่าผู้สมัครงานอื่นๆ ยิ่งเรามีความสามารถพิเศษตรงตามที่บริษัทต้องการแล้วละก็ โอกาสในการที่บริษัทจะรับเราเข้าทำงานก็จะยิ่งสูงตาม ผลงานที่เคยทำมาทั้งในระหว่างเรียนหรือระหว่างทำงาน มีส่วนให้บริษัทสนใจในตัวเรามากยิ่งขึ้นเป็นส่วนที่บ่งบอกว่าเราทำอะไรได้บ้าง และส่งผลให้เราได้รับประโยชน์จากส่วนนี้


สำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังจะหางาน หากเป็นเมื่อก่อนก็จะต้องไปสมัครงาน หรือ หางานตามหนังสือพิมพ์แต่ปัจจุบันแต่ solution ที่ช่วยในการหางานให้ง่ายขึ้นเช่นเว็บไซต์หางาน ที่มีประกาศรับสมัครงานของบริษัทต่างๆมาลงอยู่แล้วซึ่งเราสามารถสมัครงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีเว็บไซต์ลักษณะนี้ให้บริการอยู่เช่น jobcity.com ซึ่งจะทำให้การหางานง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย



การสัมภาษณ์งานมีกี่ประเภท...ที่เราต้องรู้

การสัมภาษณ์งาน หมายถึงการทำความรู้จักกันระหว่างผู้มาสมัครงานกับบริษัท เป็นวิธีในการทำความรู้จักผู้สมัครว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นหรือไม่ และผู้สมัครก็จะได้เรียนรู้ว่าบริษัทนั้นเป็นอย่างไร

ประเภทของการสัมภาษณ์งานที่ควรรู้
การสัมภาษณ์งานนั้นมีอยู่หลากหลายประเภทขึ้นอยู่กับว่า ตำแหน่งงานนั้นมีความสำคัญเพียงใดการสัมภาษณ์งานนั้นแบ่งออกได้เป็น

1.แบบตัวต่อตัว
เป็นการสัมภาษณ์ที่เป็นที่นิยมที่สุด ซึ่งจะประกอบไปด้วย ผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ฝั่งละหนึ่งคนเท่านั้น

2.แบบกลุ่ม
เป็นการสัมภาษณ์ที่นิยมใช้ในการสัมภาษณ์ตำแหน่งงานที่มีความสำคัญ ประกอบไปด้วย ผู้สัมภาษณ์สองคนขึ้นไป ต่อผู้ถูกสัมภาษณ์หนึ่งคน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งงานนั้นๆ

3.ทางโทรศัพท์และวิดีโอ
เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่เป็นที่นิยมเพราะ การสัมภาษณ์ในลักษณะนี้จะไม่รู้ได้เลยว่าผู้สมัครงานมีบุคลิกอย่างไร นิยมใช้ในการสัมภาษณ์ผู้ที่ไม่สะดวกมาสัมภาษณ์ที่บริษัท

 ข้อห้ามในการสัมภาษณ์งาน
-ไม่ควรใช้ภาษาไม่สุภาพ
-ไม่ควรโกหก
-ไม่ควรพูดเรื่องที่อ่อนไหวได้ง่าย
-ไม่ควรพูดถึงที่ทำงานเก่าในแง่ลบ
-ไม่ควรพูดมากเกินไป

ข้อควรปฎิบัติในการสัมภาษณ์งาน
-เตรียมตัวให้พร้อมกับคำถาม
-แต่งกายให้สุภาพ
-พูดเสียงดังฟังชัด
-แสดงถึงความกระตือรือร้นในการทำงาน

การสัมภาษณ์งานเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะได้เข้าไปทำงานในบริษัทนั้นๆหรือไม่ การเตรียมตัวที่ดีทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง



เทคนิคการเตรียมตัวสัมภาษณ์ สำหรับคนที่ทำงานที่เดียวแล้วไม่เคยเปลี่ยนงานมาก่อน



ไม่ว่าเราจะเคยสัมภาษณ์งานมาก่อนแต่เราไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย จึงอาจจะลืมไปแล้วว่าการสัมภาษณ์งานต้องทำอย่างไรบ้าง เพราะสิ่งที่เราไม่ได้ทำมานานพอกลับมาทำอีกครั้งก็อาจจะหลงลืมเป็นเรื่องธรรมดาเราจึงมานำเสนอ เทคนิคในการเตรียมตัวสัมภาษณ์งานสำหรับผู้ที่ไม่เคยเปลี่ยนงาน และทำงานเก่ามาอย่างยาวนาน ซึ่งมีดังนี้

1.เตรียมประวัติส่วนตัว
นำประวัติส่วน มาดูซ้ำอีกรอบ ดูข้อมูลต่างๆ ทั้งความสามารถและประสบการณ์ในการทำงาน แล้วเขียนเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดในการนำเสนอตัวเอง ในขณะสัมภาษณ์งาน เนื้อหาในการพูดไม่ควรยาวจนเกินไป ควรสั้นและกระชับ ทำผู้ฟังสามารถเข้าใจในสิ่งที่เราพูดได้

2.เตรียมเอกสารที่สำคัญ
เอกสารต่างๆที่สำคัญเช่น ประวัติการศึกษา บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ให้นำไปด้วยในการสมัครถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้แต่เราต้องเตรียมพร้อมเสมอ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเราจะมีความละเอียดรอบคอบในสิ่งต่างๆ สมมุติว่าเราไปสัมภาษณ์งาน แล้วบริษัทอาจจะขอดูประวัติการศึกษาตอนนั้นทันที ถ้าเราไม่มีให้ดูอาจจะทำให้เราดูเป็นคนไม่เตรียมพร้อมและไม่มีความรับผิดชอบ ซึ่งอาจส่งผลต่อการรับเข้าทำงาน

3.แต่งกายให้สุภาพ เรียบร้อย
การแต่งกายเป็นสิ่งแรก ที่ผู้สัมภาษณ์จะเห็น ถ้าเราแต่งกายดูดีและถูกกาลเทศะ ซึ่งสิ่งนี้ถึงแม้เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะบ่งบอกถึงนิสัยในการทำงานด้วย ถ้าเราแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ลูกค้าที่เราไปพบก็คิดว่าเราให้เกียรติเขา แต่ถ้าเราแต่งกายไม่เรียบร้อยเช่น ในเสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปพบลูกค้า ลูกค้าก็อาจจะโทรไปตำหนิเรากับเจ้านาย

4.ศึกษาข้อมูลของบริษัท
การที่เราศึกษาข้อมูล ของบริษัทก่อนเข้าไปสัมภาษณ์งานเป็นสิ่งที่แสดงถึงว่าเรา ต้องการที่จะมาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ ถ้าเกิดระหว่างการสัมภาษณ์งาน ผู้สัมภาษณ์ถามว่าทำไมเราถึงอยากทำงานที่บริษัทนี้ เราก็สามารถที่จะตอบคำถามได้

5.ฝึกการพูดหน้ากระจก
การฝึกพูดคนเดียวหน้ากระจกหลายคนอาจจะคิดว่าเป้นการกระทำที่บ้าแต่คุณรู้หรือไม่ว่าการพูดหน้ากระจก เป็นการดูพฤติกรรมและปรับปรุงการพูดของเราให้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการไปสัมภาษณ์งาน ยิ่งเราฝึกพูดหน้ากระจกบ่อยๆ มันจะทำให้เราพูดได้คล่องยิ่งขึ้น ทำให้การสัมภาษณ์งานเป็นไปอย่างราบรื่น

6.ศึกษาการเดินทาง
การตรงต่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราไปสัมภาษณ์งานไม่ทันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ เพราะฉะนั้นการศึกษาเส้นทางและวางแผนในการเดินทางเพื่อไปสัมภาษณ์งานนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยกว่าเรื่องอื่น

เทคนิคข้างต้นเป็นเพียงส่วนนึงในการสัมภาษณ์งาน สำหรับผู้ที่ไม่เคยเปลี่ยนงานมาก่อน สิ่งที่ทำให้คนเราอยากเปลี่ยนงาน ส่วนใหญ่คืออยากได้ความก้าวหน้าในอาชีพ แต่เราต้องไม่ลืมว่ายิ่งเราตำแหน่งสูงเท่าไรความรับผิดชอบก็ยิ่งมากตามด้วยเราขอแนะนำเว็บไซต์ หางาน ที่ได้ความความไว้วางใจจากผู้สมัครงานมากที่สุดว่าถ้าสมัครงานกับที่นี้จะไม่ต้องเปลี่ยนงานอีกต่อไปเพราะงานที่ได้จะตรงใจคุณมากที่สุดบริษัทใหญ่ๆในประเทศก็หาคนทำงานจากเว็บไซต์นี้อยู่มากมาย


เทคนิคการหางานของนักศึกษาจบใหม่


ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่า มีนักศึกษาจบใหม่ในระหว่างปี 2550-2559 คาดว่าจะมีประมาณ 3-4 แสนคน/ปีกันเลยทีเดียว (สถิติจากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา) แต่ในขณะที่ความต้องการแรงงานในระดับปริญญาตรีในเดือนมีนาคม ปี 2555 พบว่า มีตำแหน่งงานว่างเพียง 138,450 อัตราเท่านั้น จึงทำให้มีการแข่งขันสูงขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ซึ่งก็แน่นอนว่า นักศึกษาที่จบใหม่ ก็ต้องมีเป้าหมายในการทำงานกับบริษัทใหญ่ๆและมั่นคงกันทั้งนั้น วันนี้เราจึงมาแนะนำนักศึกษาจบใหม่หรือกำลังจะจบ ถึงความต้องการของบริษัทหรือนายจ้าง ว่าทางบริษัทต้องการบุคลากรแบบไหนเข้ามาทำงานในบริษัทเพื่อที่จะได้เตรียมตัวกันได้ถูก

1. ประสบการณ์การทำงาน
แน่นอนว่านักศึกษาทุกคนต้องผ่านการฝึกงานมาแล้วทั้งนั้น แต่ความแตกต่างของแต่ละคนขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน การฝึกงานก็เหมือนกับการแสดงฝีมือให้กับบริษัทที่เราไปฝึกงาน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่เราตั้งใจจะไปสมัครแต่แรกอยู่แล้วหรือไม่ หากช่วงที่เราฝึกงาน สามารถทำงานได้เข้าตากรรมการ ทำให้เห็นถึงศักยภาพ สิ่งนี้จะกลายมาเป็นแต้มต่อในการที่ต้องสมัครงานจริงอีกด้วย อีกสิ่งหนึ่งคือ การทำงานพาร์ทไทม์ (Part time) นอกจากจะได้มีเงินใช้ในช่วงปิดเทอมแล้ว ยังได้ประสบการณ์ในการทำงานเพิ่มขึ้นอีกด้วย

2. ความสามารถด้านภาษา
ทักษะด้านภาษาก็เป็นอีกสิ่งสำคัญในโลกยุคนี้ เนื่องจากสามารถใช้ในการติดต่อซื้อขายกับลูกค้าได้สะดวกและหากมีภาษาที่ 3 ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศษ หรือ ภาษาอ่านๆ ก็จะทำให้บริษัทสนใจในตัวผู้สมัครงานมากขึ้นอีกด้วย

3. การประเมินสถานการณ์ และ การแก้ไขปัญหา
แน่นอนว่านายจ้างหรือบริษัททุกที่ต้องการพนักงานที่สามารถแก้ปัญหาที่พบด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องถามสะทุกเรื่องอยู่แล้ว

4. การวางแผนงาน และ แบ่งเวลา
นอกจากจะทำงาน หรือ มีความสามารถอื่นมากมาย แต่หากไม่สามารถแบ่งเวลาได้ ก็ไม่สามารถทำงานออกมาได้ดีเช่นกัน เพราะฉะนั้นความสามารถในการแบ่งและจัดสรรเวลา เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บริษัทมองหาในตัวผู้สมัครเช่นกัน

5. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
สามารถนำไอเดียใหม่ๆมาใช้ให้ก่อประโยชน์แก่การทำงานได้ การรู้จักคิดและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่นักศึกษายังต้องพัฒนาเนื่องจากไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน หากมีตรงจุดนี้ ก็จะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บริษัทจะนำไปพิจารณาในการรับเข้ามาทำงานด้วยเช่นกัน

6. ยอมรับความเปลี่ยนแปลงหรือทำงานอื่นหรือระบบการทำงานแบบอื่น
ทุกวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะในด้านเทคโนโลยีหรือในด้านการทำงาน การยอมรับในความเปลี่ยนแปลงในที่นี้หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการทำงาน ระบบต่างๆที่ใช้ในการทำงานเพื่อให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

7. ยอมรับการตัดสินใจของผู้อื่นและให้ความร่วมมือในการทำงาน
จริงอยู่ที่ว่าบริษัทต้องการคนที่มีภาวะผู้นำ แต่ก่อนที่จะเป็นผู้นำได้ เราก็ต้องเรียนรู้ในภาวะผู้ตามมาก่อนเช่นกัน

8. ภาวะผู้นำ
คนที่มีภาวะผู้นำ นอกจากจะยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นได้ดีแล้ว ยังสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีอีกด้วย นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่บริษัทมองหาคนที่มีภาวะผู้นำนี้ซึ่งสามารถผลักดันให้เป็นหัวหน้างานได้ในอนาคตอีกด้วย

9. กล้าแสดงความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นมีประโยชน์ นอกจากจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราคิด ผิดหรือถูกมากน้อยแค่ไหน และหากมีความสามารถในด้านภาษาอังกฤษด้วยแล้วละก็ นายจ้างหรือบริษัทต่างชาติจะชอบมากเลยทีเดียว


10 คำถามพื้นฐานในการสัมภาษณ์งาน

การหางานทั้งผ่านเว็บไซต์หางาน หรือ เข้าไปที่บริษัทเพื่อเขียนใบสมัครด้วยตัวเองไม่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุด แต่ยังมีด่านสุดท้ายที่ต้องผ่านในการได้รับคัดเลือกเพื่อเข้าไปทำงานในบริษัทที่ต้องการ และเป้นที่แน่นอนว่า ผู้ที่เตรียมตัวมาดี ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง วันนี้เราจึงมี 10 คำถามยอดฮิตมาเสนอ เพื่อลดอาการตื่นเต้นสำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางาน หรือ ผู้ที่อยากหางานใหม่ แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะสัมภาษณ์งานผ่านหรือไม่


สำหรับน้องๆนักศึกษาที่กำลังหางาน หรือ ผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์งาน อาจจะยังยังวลอยู่ว่า เราจะเจอคำถามแบบไหนบ้างในการสัมภาษณ์งานที่จะถึงนี้ วันนี้เรามาลองดูกันว่า 10 คำถามหลักๆในการสัมภาษณ์มีอะไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้เตรียมตัว และ ลดความตื่นเต้นลงไปได้

1.Introduce yourself หรือ แนะนำตัวหน่อยสิ
คำถามนี้อาจจะเป็นคำถามที่ Basic แต่ถ้าเตรียมตัวมาไม่ดี จากคำถามที่ง่ายจะกลายเป็นคำถามที่ยากในทันที การตอบคำถามแบบปกติทั่วไปเช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ พวกนี้เป็นเรื่องพื้นฐานๆดังนั้นเราจะข้ามในส่วนนี้ไป สิ่งที่ผู้ถามอยากรู้คือ คุณเป็นคนลักษณะไหน มีนิสัยอย่างไร จะเหมาะกับงานนี้หรือไม่ เคยมีประสบการณ์ในการทำงานในตำแหน่งที่จะสมัครมาแล้วหรือยัง เป็นต้น

2.ทำไมถึงออกจางานที่ทำอยู่
สำหรับการตอบคำถามในข้อนี้ ข้อห้ามสำคัญเลยก็คือ อย่าวิจารณ์ที่ทำงานที่คุณอยู่ไม่ว่าจะเรื่องใด และ อย่าพูดอะไรที่เป็นการทำร้ายตัวเอง สิ่งที่ควรจะตอบไปในข้อนี้ ควรบอกเหตุผลประมาณว่า เหตุผลที่ต้องออกเพราะว่างานใหม่ที่นี่เป็นอีกความก้าวหน้าหนึ่ง ได้เรียนรู้งานใหม่ๆ

3.คิดว่าคุณสามารถทำอะไรให้บริษัทได้บ้าง
ขั้นตอนนี้คุณจำเป็นต้อง Present ตัวเองอย่างสร้างสรรค์ในแง่ของการทำประโยชน์ให้กับบริษัท แนะนำว่า หากมีงานอดิเรก หรือ ความสนใจที่มีประโยชน์ต่อบริษัทได้จะดีมาก

4.ข้อเสียของคุณคืออะไร
คนทุกคนมีข้อเสียอยู่ในตัวเองแต่อยู่ที่ว่าคุณจะแก้ไขข้อเสียตรงนี้ได้หรือไม่ คำถามนี้มักจะบอกเป็นนัยๆว่าคุณอาจจะมีข้อบกพร่องที่จำเป็นต่องานนี้ แต่คุณก็สามารถแก้ไขได้ว่า ถึงแม้จะไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ แต่ก็เป็นคนเรียนรู้ได้เร็ว ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

5.คุณจะมีปฎิกริยาอย่างไรเมื่อถูกต่อว่าหรือวิพากษ์วิจารณ์
การตอบคำถามในลักษณะนี้ ควรตอบไปในเชิงบวกเช่น หากถูกต่อว่า แสดงว่าเราทำบางอย่างผิดพลาดไป ถือเป็นสิ่งดีในการแก้ไขปรับปรุงตัวเอง การวิจารณ์เป็นสิ่งจำเป็นในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพในการทำงาน เป็นต้น

6.สามารถทำงานใต้ความกดดันได้ดีแค่ไหน
คำถามนี้ค่อนข้างสำคัญ และอาจจะเป็นตัวตัดสินว่าจะได้งานนี้หรือไม่เลยทีเดียว หากเคยมีการทำงานภายใต้สภาวะกดดันมาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องเวลากระชั้นชิด หรือ จากหัวหน้างานก็ตาม พยายามเล่าในแง่ดีและอาจจะพูดว่า ยังสามารถมีสมาธิในการทำงานได้แม้จะอยู่ในสภาวะกดดัน

7.ระหว่างเงินกับงาน อะไรสำคัญกว่ากัน ?
การถูกถามในลักษณะนี้ แนะนำว่าให้ตอบไปในลักษณะว่าสำคัญเท่ากันทั้ง 2 อย่าง เนื่อจากว่าทุกวันนี้ เงินก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตต่อไปได้ และ การที่เราจะได้เงินมา เราก็ต้องนำความรู้ที่มีไปทำงานเพื่อแลกเงินมา เพราะฉะนั้น มันจึงไม่น่าเกลียดหากจะเห็นว่าทั้ง 2 อย่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน

8.คุณวางแผนอนาคตว่าอย่างไร
หากถูกถามคำถามในลักษณะนี้ ถ้าหากใน resume หรือ ใบสมัครงานมีให้กรอก ควรตอบให้ใกล้เคียงที่เขียนไว้ให้มากที่สุด แต่หากไม่มีให้เขียนในใบสมัครงาน ควรตอบให้ดูมความมุ่งมั่น พยายามพูดถึงอนาคตในแง่ที่ทำให้คุณดูมีวิสัยทัศน์กว้างไกลจะได้ผลดียิ่งขึ้น

9.ให้เหตุผลที่บริษัทควรรับคุณเข้าทำงาน
คำถามแบบนี้อาจจะดูเป็นคำถามที่ยากไปหน่อยหากไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน แต่ในเมื่อถูกถามคำถามในลักษณะนี้มา ควรเลือกตอบไปในแบบกลางๆ นำเสนอความเหมาะสม คุณสมบัติ หรือ ความสามารถพิเศษที่เหมาะกับตำแหน่งงานที่ได้สมัครไป และ ที่สำคัญ ห้ามเผลนำัวเองไปเทียบกับผู้สมัครคนอื่นๆเด็ดขาด

10.คุณมีอะไรจะถาม หรือ มีข้อสงสัยอะไรอีกไหม
การที่ผู้สัมภาษณ์ถามแบบนี้ เพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าคุณได้รับข้อมูลของตำแหน่งงานมาถูกต้อง สิ่งที่ควรถาม คือการย้ำในรายละเอียดตำแหน่งของคุณอีกครั้ง รวมไปถึงรายละเอียดอื่นๆเช่น อัตราเงินเดือน สวัสดิการ หรือ วันหยุดประจำสัปดาห์ เป็นต้น


เลือกผู้สมัครงานยังไง ให้ได้คนที่"ใช่"

การหาคนทำงานในตำแหน่งต่างๆในแต่ละครั้ง บริษัทอาจเคยพบปัญหา และ ไม่แน่ใจเกี่ยวกับผู้ที่มาสมัครงาน ที่ได้กรอกประวัติ และ เขียนคุณสมบัติไว้ว่าจะทำได้จริงอย่างที่ได้เขียนไว้ในใบสมัครหรือไม่ และ ไม่รู้ว่าเป็นคนอย่างไร ผลสำวจเรื่องความมั่นใจในการตัดสินใจรับคนเข้าทำงานส่วนใหญ่กล่าวว่า 50% จะรู้ว่าเลือกคนถูกหรือไม่ก็ต่อเมื่อได้รับเข้ามาทำงานแล้วในช่วงเวลาประมาณ 3-6 เดือน หรือ ในช่วงทดลองงาน
จากเหตุการณ์ข้างต้นจะเห้นว่า ปัญหาที่แท้จริงของการคัดเลือกคนเข้ามาทำงาน อยู่ที่มาตรฐานและวิธีการรับคน และผู้สัมภาษณ์หลายๆท่าน ยังใช้วิธียอดฮิตในการสัมภาษณ์คือ ใช้คำถามปิด คำถามกว้างๆ หรือไม่ก็คำถามยอดฮิตที่ผู้สมัครได้เตรียมตัวมาแล้ว ซึ่งก็ไม่แปลกที่ผู้สัมภาษณ์จะเกิดความสงสัยว่าคนที่มาสมัครงาน จะทำได้จริงอย่างที่พูด หรือ มีทัศนคติ นิสัยอย่างไร

1.กำหนดคุณสมบัติ ขั้นต่ำ สำหรับงานนั้นๆไว้เสมอ
การกำหนดคุณสมบัติขั้นต่ำ ก็เพื่อให้ได้คนที่สามารถเข้าใจ และ รับผิดชอบหน้าที่ของแต่ละตำแหน่งได้ เช่น ประสบการณ์ในการทำงาน การศึกษา แต่ก็ต้องแยกให้ออกระหว่าง ระดับการศึกษาที่จำเป็น กับ ระดับการศึกษาที่อยากให้มี เพราะถึงแม้ว่า ผู้สมัครจะไม่ได้จบการศึกษามาสูง แต่มีประสบการณ์ในการทำงานในตำแหน่งนั้นมากกว่าผู้ที่จบการศึกษาสูง ก็สามารถทำให้ทำงานที่ได้รับมอบหมาย สำเร็จลุล่วงได้ดีกว่าผู้สมัครที่จบสูงกว่าเช่นกัน

2.หาผู้ที่เหมาะกับงานนั้นๆอยู่เสมอ
มีอยู่หลายวิธีที่จะค้นหาคนที่เหมาะกับงาน เช่น สรรหาบุคลากรจากในบริษัทก่อน เนื่องจากว่า คนที่ทำงานอยู่ในบริษัทอยู่แล้ว ย่อมมีความเข้าใจในการดำเนินงานของบริษัท ดีกว่าคนที่รับเข้ามาใหม่ หรือ ลงประกาศกับสื่อโฆษณาที่เหมาะสม เช่น การลงประกาศตามเว็บไซต์หางาน เนื่องจากมีผู้ที่ต้องการหางานเข้ามามองหางานจากเว็บไซต์เหล่านี้เป็นจำนวนมาก อาจจะทำให้บริษัทได้คนไวขึ้นอีกด้วย

3.เน้นการถามผู้สมัครงานว่า "ทำไม . . . "
การถามในลักษณะนี้ เป็นการถามเพื่อให้รู้ถึงวิธีคิด ทัศนคติของผู้ที่มาสมัครงาน แต่หากเป็นการสัมภาษณ์ร่วมกันหลายคน ผู้ที่สัมภาษณ์ควรใช้คำถามที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคน แต่เป็นคำถามในรูปแบบเดียวกันเพื่อดูทัศนคติและการให้เหตุผลในแต่ละคน

เทคนิคในการกรอกใบสมัครงาน


หากคุณกำลังต้องการสมัครงาน สิ่งแรกที่จะเจอเลยนั่นก็คือ การเขียนใบสมัครงานแต่ว่า ในปัจจุบันผู้สมัครงานจำนวนมากไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเขียนใบสมัคร หรือ ไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนด ที่แนะนำไว้ในใบสมัคร ทำให้กรอกข้อมูลไม่ครบ และ ทำให้พลาดโอกาส สูญเสียเวลา และ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสมัครงานโดยเปล่าประโยชน์

ข้อผิดพลาดทั่วไปในการกรอกใบสมัครมีดังนี้

1. ลายมือของผู้สมัครงาน
ลายมือของผู้สมัครงานเอกก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกัน หลายคนอาจจะคิดว่า ลายมือที่เขียนลงไปในใบสมัครงานคงไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากหรอก(มั้ง) แต่หารู้ไม่ว่า ลายมือนั้นสามารถบ่งบอกถึงหลายสิ่งหลายอย่างของผู้สมัครงานได้ (แต่ก็ไม่ถึงกับทั้งหมด) แต่ในที่นี้ บริษัทไม่ได้พิจารณาว่าลายมือของผู้สมัครงาน สวยหรือไม่สวย แต่จะพิจารณาว่า ลายมือของผู้สมัครงานที่เขียนไว้ในใบสมัคร คนทั่วไปสามารถอ่านออกหรือไม่ คำแนะนำสำหรับลายมือในการเขียนใบสมัคร ไม่จำเป็นต้องสวยมาก หรือ เป็นตัวบรรจง แค่เขียนให้อ่านง่ายๆ เป้นระเบียน และ เว้นวรรคให้ถูกต้องก็เป็นอันใช้ได้ ที่สำคัญ อย่าใช้เวลาในการเขียนมากจนเกินไป

2. การกรอกข้อมูลไม่ครบ หรือ ผิดพลาด
          2.1 แก้ปัญหาการกรอกข้อมูลไม่ครบถ้วนตามที่บริษัทกำหนด โดยทั่วไป บริษัทมักจะมีข้อความที่ว่า "โปรดกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน" ซึ่งในบางครั้ง ผู้สมัครงานไม่ได้มีข้อมูลในหัวข้อนั้นๆ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะทางทหาร ผู้สมัครที่เป็นสตรีก็คงไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ให้กรอก เป็นต้น วิธีการแก้ไขข้อผิดพลาดในที่นี้คือ หากผู้สมัครงานไม่มีข้อมูลในส่วนใด ก็ควรเขียนเครื่องหมาย ( - ) ไว้ในช่องว่าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ลืมเติมข้อมูล แต่ไม่มีข้อมูล เป็นการสื่อให้เห็นว่าไม่ได้เป็นคนประมาทเลินเล่อ และ ไม่ได้มีเจตนาในการปกปิดข้อมูล เพียงไม่มีข้อมูลในส่วนนั้น

          2.2 กรอกข้อมูลผิดจากจุดประสงค์ในใบสมัคร การกรอกข้อมูลไม่ครบถ้วนนั้น นอกจากจะทำให้ผู้คัดเลือกเกิดทัศนคติไม่ดีกับผู้สมัครแล้ว ยังทำให้ผู้สมัครพลาดโอกาสอีกด้วย เนื่องจากในตอนสัมภาษณ์นั้น สิ่งแรกที่ผู้สัมภาษณ์จะคัดเลือกคือใบสมัครที่ผู้สมัครงานเขียนส่งมา ทำให้ผู้ที่จะสัมภาษณ์ ได้รู้เรื่องราวเบื้องต้นของผู้สมัคร ซึ่งหากเขียนมาไม่ครบ ก็จะทำให้ผู้สัมภาษณ์ไม่รุ้ข้อมูลของผู้สมัคร และถ้าหากมีผู้ที่สมัครมาในตำแหน่งเดียวกันเยอะ อาจจะทำให้เสียสิทธิในการสัมภาษณ์ไปได้เช่นกัน

นี่เป็นตัวอย่างคร่าวๆของความผิดพลาดในการเขียนใบสมัครงาน แต่ว่าในปัจจุบัน ได้มีเว็บไซต์หางานซึ่งได้มีแบบฟอร์มในการสมัครงานให้สำหรับผู้ที่กำลังหางาน สามารถกรอกและส่งไปยังบริษัทได้ทันที โดยที่แบบฟอร์มนั้น มีความครบถ้วนตามที่บริษัทต้องการ เช่น jobcity.com เป็นต้น เพียงแค่เรากรอกข้อมูลให้ครบถ้วนที่สุดตามแบบฟอร์ม อีกทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไปเขียนใบสมัครถึงบริษัทอีกด้วย และบริษัทที่ต้องการหาคนทำงานในสมัยนี้ได้มีการประกาศรับสมัครผ่านเว็บไซต์มากขึ้น ทำให้ผู้ที่สมัครผ่านเว็บได้โอกาสในการเรียกสัมภาษณืมากขึ้นด้วย

8 วิธีที่ทำให้หางานได้ตรงใจ



อาจจะมีหลายครั้งที่คุณนึกอยากจะเปลี่ยนงาน ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่ว่าการหางานที่ดีกว่าเดิม งานที่คุณทำแล้วมีความสุข หรือ งานที่เหมาะกับคุณจริงๆแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป หากแต่ต้องอาศัยการเตรียมตัว เตรียมพร้อมกันสักเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหางานใหม่ที่คุณต้องการ

ถ้าหากว่าคุณกำลังต้องการเปลี่ยนงาน สิ่งแรกที่คุณควรทำคือการแจกแจงดูว่าคุณมีปัญหาอะไรบ้างในการทำงานในปัจจุบันที่ทำให้คุรรู้สึกอยากเปลี่ยนงาน และ ควรดูให้แน่ใจว่า ปัญหาเหล่านั้นคุณไม่สามารถแก้ไขมันได้จริงๆ

ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกจากงานปัจจุบันที่ทำอยู่ ควรคุยกับเจ้านายดูก่อนเพราะว่า บริษัทส่วนมาก ไม่ต้องการที่จะหาพนักงานใหม่มาแทนคนเก่า เนื่องจากต้องใช้เวลานานในการสอนงานให้กับพนักงานใหม่ และ หากคุณเป็นคนที่มีความสามารถด้วยแล้ว บริษัทยิ่งไม่อยากเสียคุณไปอย่างแน่นอน ซึ่งก็หมายความว่า เจ้านายของคุณ อาจจะสามารถช่วยหาทางแก้ไขปัญหาที่คุณพบเจออยู่ก็เป็นได้หากเขารู้ถึงปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของคุณ

อย่างไรก็ตาม หากคุยและปรึกษาแล้วไม่มีหาทางไหนที่ทำให้คุณรู้สึกดี หรือ มีความสุขกับการทำงานที่เดิมแล้ว คงถึงเวลาที่คุณต้องหางานใหม่ ซึ่งเรามีกลเม็ดเล็กๆน้อยๆ 8 ข้อ ที่จะสสามารถช่วยให้การเปลี่ยนงานหรือหางานใหม่ของคุณราบรื่นมากขึ้นด้วย

ข้อที่ 1. รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
เหมือนกับการเลือกสายที่ต้องเรียนตอนม.ปลายนั่นแหละครับ เราต้องรู้ก่อนว่า เรามีความสามารถ มีทักษะอะไร ประสบการณ์ที่ผ่านๆมา คุณชอบสิ่งใด เพราะว่ามันจะทำให้คุณรู้ว่า งานแบบไหนเหมาะสมกับคุณมากที่สุด เมื่อมองเห็นจุดนี้แล้ว คุณก็จะรู้ว่า งานแบบไหนที่ได้ทำแล้วจะมีความสุขที่สุด

ข้อที่ 2. ทำใจก่อนเลยว่าที่ทำงานที่ใหม่ (อาจจะ) ได้เงินเดือนลดลง
แน่นอนครับ การรับคนเข้าทำงานต้องมีช่วงที่เรียกว่า ทดลองงานอยู่แล้ว และบางครั้ง การได้ทำงานที่ใหม่ ที่ให้เงินเดือนมากกว่าเดิมนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้คุณมีความสุขในการทำงานได้จริงๆ เพราะหากว่าไม่ได้เป้นงานที่คุณรัก คุณไม่ได้ชอบที่จะทำมัน อาจจะทำให้งานออกมาไม่ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้โอกาสความก้าวหน้าในหน้าที่การงานลดลงด้วย แต่หากงานที่คุณได้ทำนั้น ช่วงแรกอาจจะได้เงินเดือนน้อยบ้าง แต่เป็นงานที่คุณชอบ และคุณรักที่จะทำมัน ผลงานก็จะออกมาดีกว่างานที่คุณไม่ได้ชอบอยู่แล้ว ซึ่งก็จะส่งผลให้คุณได้รับโอกาสในการได้เงินเดือนเพิ่ม และมีความก้าวหน้าในอาชีพการงานมากขึ้นด้วย

ข้อที่ 3. หาข้อมูลของงาน หรือ อาชีพที่คุณสนใจ
หลังจากรู้ว่า ตัวคุณเองต้องการอะไรแล้ว ต่อมาเราก็ต้องมาดูกันว่า งานหรืออาชีพที่คุณกำลังสนใจอยู่นั้น มีความรับผิดชอบ หรือ หน้าที่ตรงกับที่คุรต้องการหรือไม่ สมัยนี้ก็ง่ายๆครับ มีแหล่งข้อมูลให้ค้นหามามายทั้ง นิตยสาร, หนังสือพิมพ์, Internet ที่จะช่วยให้คุณรู้ว่า งานที่กำลังหาอยู่ เป็นงานที่ตรงกับที่คุณต้องการหรือไม่

ข้อที่ 4. การสร้างสายสัมพันธ์ในสายงาน
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดีในการทำให้คุณได้พบปะ พบเจอกับคนที่ทำงานในแวดวงเดียวกัน ทำให้สามารถแชร์ความรู้หรือประสบการณ์ต่างๆกันได้ ซึ่งถ้าหากคุรต้องการหางานในสายนั้นๆแล้ว ทำให้คุณมีความได้เปรียบคนอื่นๆอีกด้วย

ข้อที่ 5. ทำความรู้จักกับบริษัทที่ต้องการไปสมัคร
ถึงแม้ว่างานที่คุณต้องการจะยังไม่เปิดรับสมัคร แต่การหาข้อมูลไว้ก่อนว่าบริษัทนั้น ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอะไร สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่คุณสนใจว่ามีความรับผิดชอบอะไรบ้าง ซึ่งถ้าเรารู้ว่าบริษัทที่เราต้องการสมัครดำเนินธุรกิจรูปแบบไหน ทำอะไร จะทำให้คุณมีภาษีดีกว่าผู้สมัครรายอื่นๆที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทที่ตัวเองต้องการไปสมัครเลย

ข้อที่ 6. ขอเข้าทดลองงาน หรือ ฝึกงานในตำแหน่งชั่วคราว
หาคุณค้นพบว่า ตัวเองต้องการทำอาชีพอะไรในอนาคตได้ขณะที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ คุรสามารถขอเข้าฝึกงานในบริษัทที่ต้องการเข้าไปทำงานในอนาคตได้อีกด้วย ทำให้คุณรู้ว่าบรรยากาศในที่ทำงานในบริษัทที่คุณต้องการไปสมัครเป็นอย่างไรอีกด้วย

ข้อที่ 7. แก้ไขจุดอ่อน สร้างเสริมส่วนที่ขาดไป
ในเมื่อเรารู้จุดแข็งของเราแล้ว ต่อมาคือต้องดูว่าจุดอ่อนของเราคืออะไร เช่น ไม่ถนัดในด้านภาษา เราก็สามารถใช้เวลาว่างที่มี ไปฝึกภาษาที่เราไม่ถนัด เผื่อหากบริษัทมีนโยบายส่งพนักงานไปต่างประเทศ คุณก็อาจเป็น 1 ในตัวเลือกของบริษัท อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสได้ความก้าวหน้าในอาชีพอีกด้วย

ข้อที่ 8. แสดงจุดเด่นของเราให้ตรงกับที่บริษัทต้องการ
ในเมื่อคุณรู้ว่าคุณมีทักษะไหนที่ตรงกับสายงาน หรือ อาชีพที่ตรงกับบริษัทที่คุณต้องการประกาศรับอยู่ ก็ควรเน้นตรงจุดนั้นในจดหมายสมัครงาน หรือ ในประวัติหากส่งใบสมัครผ่านเว็บไซต์ หางาน ซึ่งจะทำให้คุณมีโอกาสได้งานมากขึ้นด้วย

สุดท้าย สำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางาน อย่าตัดสินใจเลือกงานตามคนอื่นที่เราไม่ชอบ ยังมีงานอีกมากมายรอคุณอยู่ข้างนอก เพียงแค่คุณเชื่อว่าคุณสามารถทำได้คุณก็สามารถแก้ไขจุดอ่อนที่เป็นอุปสรรคต่องานที่คุณชอบได้เช่นกัน