แต่งกายอย่างไรให้เหมาะสมกับการไปสัมภาษณ์งาน
เชื่อว่าทุกคนต้องเคยตื่นเต้นกับการไปสัมภาษณ์งานอย่างแน่นอนทำตัวไม่ถูกบางคนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับก็มีเรื่องที่หนีไม่พ้นก็คงเป็นเรื่องการแต่งกายและบุคลิกภาพของตัวเองในการไปสมัครงานหรือสัมภาษณ์งานเพราะการแต่งกายก็เป้นส่วนหนึ่งที่บริษัทจะรับเราเข้าทำงานหรือไม่เหมือนกัน
บางคนอาจจะคิดว่าการไปสัมภาษณ์งานไม่ได้มีอะไรพิเศษไม่เห็นต้องแต่งตัวให้ต่างไปจากปกติเรื่องนี้เป็นความคิดที่ผิดเพราะการแต่งตัวเป็นสิ่งแรกที่ผู้สัมภาษณ์จะเห็นจากเราไม่ใช่คำพูดหรือประวัติส่วนตัวการแต่งตัวก็ต้องดูเป็นทางการสักหน่อยแต่ไม่ต้องโอเวอร์มากจนเกินไปแต่งแต่พอดีทำให้เราดูมีบุคลิกดีและมีความน่าเชื่อถือ
การใช้เสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าแตะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะคนสัมภาษณ์จะมองว่าเราเป็นคนที่ไม่มีกาลเทศะได้และไม่ควรแต่งตัวเวอร์จนเกินไปเพราะเราแค่ไปสมัครงานไม่ได้ไปประกวดร้องเพลงหรืออย่างใดโดยเฉพาะเสื้อผ้าสีบาดตาไม่ควรใช้อย่างยิ่งเพราะจะทำให้คุณค่าในตัวเราดูลดลงไปทันที
คุณผู้หญิงก็ไม่ควรแต่งตัววับๆแวบๆโชว์ส่วนต่างๆของร่างกายเพราะเราไปสัมภาษณ์งานไม่ได้ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ควรแต่งตัวให้เกียรติสถานที่ทำงานเพราะถ้าเราแต่งตัวไปแบบนั้นเผลอๆจะโดนไล่เพราะไม่เคารพสถานที่ด้วยซ้ำไปแค่แต่งตัวให้สุภาพเรียบร้อยผมก็ให้ดูเรียบร้อยรองเท้าก็ควรให้สะอาดซะหน่อยถ้าเราแต่งตัวดีแต่รองเท้าสกปรกก็คงดูไม่ดีอย่างแน่นอน
การแต่งตัวไปสัมภาษณ์งานนั้นต้องลงทุนหน่อยเราอาจจะหานิตยสารที่เกี่ยวกับการแต่งตัวสักเล่มไม่ต้องเอาแบบที่โอเวอร์เกินไปเพียงเอามาใช้เป็นแนวทางในการแต่งตัวเท่านั้นเองการแต่งตัวให้ดีมีส่วนช่วยให้บุคลิกภาพคุณดูดีขึ้นมากแถมยังทำให้เราดูเป็นคนที่น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นอีกด้วยการแต่งตัวไปทำงานวันแรกก็เหมือนกันเราควรเลือกชุดที่เป้นยูนิฟอร์มของบริษัทหรือถ้าไม่มีเราก็ควรเลือกเสื้อกที่เข้ากับลักษณะของงานไม่ใช่เราทำงานโรงงานแต่ใส่ชุดสูทรับรองไม่เกินครึ่งวันสูทดีๆของคุณพังแน่นอนเพราะฉะนั้นเราก็ต้องดูลักษณะงานของเราด้วยว่าเป็นยังไงเหมาะสมกับเสื้อผ้าที่เราเลือกหรือไม่สุดท้ายนี้อยากให้คิดว่าการแต่งตัวนั้นมีความสำคัญทั้งกับการสมัครงานและการทำงานมากแค่ไหน
ตกงานทำอย่างไรให้รอด
ตกงานในปัจจุบันถือว่าเป็นปกติอย่างมากเพราะว่ามีการแข่งขันสูงมากในการทำงานเมื่อเราทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่ได้บริษัทก็มีโอกาสที่จะไล่เราออกหรือสาเหตุเกิดจากที่เราลาออกเองเพราะทนแรงกดดันจากการทำงานไม่ไว้เพราะฉะนั้นวันนี้เรานำเสนอวิธีทำให้ตัวเองมีภูมิคุ้มกันเมื่อต้องเจอกับสภาวะตกงานหรือต้องเปลี่ยนงานใหม่กันซึ่งมีดังต่อไปนี้
1.คิดว่าเป็นเรื่องสนุก
คิดซะว่าเราได้พักร้อนเป็นโอกาสที่เราเหนื่อยจากการทำงานมามากได้พักผ่อนสมองอาจจะออกไปเที่ยวทำอะไรที่ไม่ได้อยากทำมานานเพื่อให้ร่างกายและจิตใจพร้อมจะก้าวเดินก้าวใหม่ต่อไปได้อย่างเต็มที่
2.หาอะไรทำไม่ให้ตัวเองว่าง
เมื่อเราว่างจิตเราก็จะคิดฟุ้งซ่านว่าจะหางานใหม่ได้ไหมเราต้องทำตัวเองให้ไม่ว่างหาอะไรทำเช่นอ่านหนังสือเล่นคอมพิวเตอร์หรือปลูกต้นไม้ดูทีวีเพื่อให้เราคิดถึงเรื่องอื่นและไม่กังวลเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
3.ออกไปพบปะผู้คน
เมื่อเราอยู่คนเดี๋ยวเราก็คงรู้สึกเหงาเราอาจจะออกไปหาเพื่อนฝูงหาคนรู้จักแลกเปลี่ยนเรื่องต่างๆเพื่อให้สมองปลอดโปร่งไม่คิดมากวิธีนี้ช่วยให้คุณไม่คิดมากซึ่งดีกว่าการนั่งอยู่บ้านเฉยๆไปวันๆ
4.ติดตามข่าวสารให้มากขึ้น
เมื่อมีข่าวที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเราอาจจะศึกษาเรื่องต่างๆนั้นไว้เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับการหางานใหม่ของเราใครจะรู้ว่าการติดตามข่าวสารเนี่ยแหละทำให้คนได้งานดีๆมามากแล้ว
5.ติดตามการรับสมัครงานของบริษัทต่างๆ
ไม่เพียงแต่ติดตามข่าวสารเราก้ติดตามตำแหน่งงานที่เปิดรับตามเว็บไซต์จัดหางานต่างๆด้วยหรือเราอาจจะไปตามงานที่จัดตามสถานที่ต่างๆเราไปที่เดียวอาจจะสมัครได้ถึงสิบๆบริษัทเลยซึ่งประหยัดเวลา
6.ส่งอีเมล์หรือจดหมาย
พยายามฝึกการเขียนจดหมายสมัครงานหรืออีเมล์สมัครงานให้ถูกต้องและดีที่สุดเพื่อให้จัดหมายของเรานั้นโดดเด่นและเป็นที่น่าสนใจมากที่สุดตั้งใจเขียนไม่คิดว่าเป้นเรื่องไม่สำคัญเด็ดขาดเพราะจดหมายสมัครงานเนี่ยแหละสำคัญที่สุดในการสมัครงานเลยทีเดียว
7.ประหยัดให้มากขึ้น
เมื่อเราไม่มีรายได้ประจำอีกต่อไประหว่างการรอหางานใหม่เราก็ต้องประหยัด่าใช้จ่ายให้มากขึ้นสิ่งไหนไม่จำเป็นเราก็ต้องประหยัดเช่นการกินอาหารมื้อแพงๆเราก็อาจจะจำนวนครั้งลงบ้างเพราะตอนนี้เราไม่มีรายได้อาจจะใช้วิธีเขียนรายรับรายจ่ายเพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบย้อนหลัง
8.มีกำลังใจอยู่เสมอ
กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกเรื่องไม่ว่าเราจะทำอะไรเราต้องการกำลังใจเสมอเมื่อเรามีกำลังใจแล้วเรื่องอื่นๆก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแน่นอนเพราะกำลังใจเป้นรากฐานของการต่อสู้อุปสรรค
9.ไปสมัครงาน
เมื่อเราพร้อมทุกอย่างเราก็ออกไปสมัครงานได้เลยโดยต้องไม่ลืมว่าเรามีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้วซึ่งตรงนี้เป้นข้อได้เปรียบผู้สมัครคนอื่นอย่างแน่นอนใช้มันให้เกิดประโยชน์
10.หาเส้นทางอื่นสำรอง
เราไม่จำเป็นต้องมีทางเลือกเดียวเสมอไปถ้าเราสมัครงานแล้วไม่ได้งานเราไม่จำเป้นต้องเสียใจหรือผิดหวังเพราะถ้าคิดซะว่ายังมีอีกหลายงานรอเราอยู่เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป
1.คิดว่าเป็นเรื่องสนุก
คิดซะว่าเราได้พักร้อนเป็นโอกาสที่เราเหนื่อยจากการทำงานมามากได้พักผ่อนสมองอาจจะออกไปเที่ยวทำอะไรที่ไม่ได้อยากทำมานานเพื่อให้ร่างกายและจิตใจพร้อมจะก้าวเดินก้าวใหม่ต่อไปได้อย่างเต็มที่
2.หาอะไรทำไม่ให้ตัวเองว่าง
เมื่อเราว่างจิตเราก็จะคิดฟุ้งซ่านว่าจะหางานใหม่ได้ไหมเราต้องทำตัวเองให้ไม่ว่างหาอะไรทำเช่นอ่านหนังสือเล่นคอมพิวเตอร์หรือปลูกต้นไม้ดูทีวีเพื่อให้เราคิดถึงเรื่องอื่นและไม่กังวลเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
3.ออกไปพบปะผู้คน
เมื่อเราอยู่คนเดี๋ยวเราก็คงรู้สึกเหงาเราอาจจะออกไปหาเพื่อนฝูงหาคนรู้จักแลกเปลี่ยนเรื่องต่างๆเพื่อให้สมองปลอดโปร่งไม่คิดมากวิธีนี้ช่วยให้คุณไม่คิดมากซึ่งดีกว่าการนั่งอยู่บ้านเฉยๆไปวันๆ
4.ติดตามข่าวสารให้มากขึ้น
เมื่อมีข่าวที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเราอาจจะศึกษาเรื่องต่างๆนั้นไว้เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับการหางานใหม่ของเราใครจะรู้ว่าการติดตามข่าวสารเนี่ยแหละทำให้คนได้งานดีๆมามากแล้ว
5.ติดตามการรับสมัครงานของบริษัทต่างๆ
ไม่เพียงแต่ติดตามข่าวสารเราก้ติดตามตำแหน่งงานที่เปิดรับตามเว็บไซต์จัดหางานต่างๆด้วยหรือเราอาจจะไปตามงานที่จัดตามสถานที่ต่างๆเราไปที่เดียวอาจจะสมัครได้ถึงสิบๆบริษัทเลยซึ่งประหยัดเวลา
6.ส่งอีเมล์หรือจดหมาย
พยายามฝึกการเขียนจดหมายสมัครงานหรืออีเมล์สมัครงานให้ถูกต้องและดีที่สุดเพื่อให้จัดหมายของเรานั้นโดดเด่นและเป็นที่น่าสนใจมากที่สุดตั้งใจเขียนไม่คิดว่าเป้นเรื่องไม่สำคัญเด็ดขาดเพราะจดหมายสมัครงานเนี่ยแหละสำคัญที่สุดในการสมัครงานเลยทีเดียว
7.ประหยัดให้มากขึ้น
เมื่อเราไม่มีรายได้ประจำอีกต่อไประหว่างการรอหางานใหม่เราก็ต้องประหยัด่าใช้จ่ายให้มากขึ้นสิ่งไหนไม่จำเป็นเราก็ต้องประหยัดเช่นการกินอาหารมื้อแพงๆเราก็อาจจะจำนวนครั้งลงบ้างเพราะตอนนี้เราไม่มีรายได้อาจจะใช้วิธีเขียนรายรับรายจ่ายเพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบย้อนหลัง
8.มีกำลังใจอยู่เสมอ
กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกเรื่องไม่ว่าเราจะทำอะไรเราต้องการกำลังใจเสมอเมื่อเรามีกำลังใจแล้วเรื่องอื่นๆก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแน่นอนเพราะกำลังใจเป้นรากฐานของการต่อสู้อุปสรรค
9.ไปสมัครงาน
เมื่อเราพร้อมทุกอย่างเราก็ออกไปสมัครงานได้เลยโดยต้องไม่ลืมว่าเรามีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้วซึ่งตรงนี้เป้นข้อได้เปรียบผู้สมัครคนอื่นอย่างแน่นอนใช้มันให้เกิดประโยชน์
10.หาเส้นทางอื่นสำรอง
เราไม่จำเป็นต้องมีทางเลือกเดียวเสมอไปถ้าเราสมัครงานแล้วไม่ได้งานเราไม่จำเป้นต้องเสียใจหรือผิดหวังเพราะถ้าคิดซะว่ายังมีอีกหลายงานรอเราอยู่เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป
ข้อคิดดีๆเพื่อพิชิตงานใหม่
เมื่อเราเริ่มต้นงานแรกๆเราจะรู้สึกว่าอะไรก็ยากไปหมดและไม่สามารถปรับตัวได้ทันสำหรับบางคนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลให้ต้องปรับตัวอยู่นานหรือต้องเปลี่ยนงานไปเลยเพราะไม่สามารถเห็นแรงกดดันได้ต่อไปในวันนี้เรามีเทคนิคที่จำเป็นในการรับมือกับการเริ่มงานสำหรับมือใหม่ให้ได้รู้กันซึ่งมีดังนี้
1.คิดว่าตัวเองไม่ได้เก่งทุกอย่างไว้เสมอ
เมื่อเราเรียนจบใหม่ๆก็ต้องมีการอยากลองวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาอย่างแน่นอนแต่อย่าลืมว่าการทำงานจริงกับการเรียนนั้นนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเราอาจจะเก่งในห้องเรียนแต่เมื่อมาทำงานแล้วเราก็ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดทั้งการเรียนรู้สิ่งต่างๆที่จำเป็นในการทำงานและการทำงานร่วมกับผู้อื่นถ้าเราไม่ยอมรับในข้อนี้และคิดว่าตัวเองเก่งเราก็จะทำงานผิดพลาดได้เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานเลยระลึกไว้เสมอว่าต้องทำตัวให้เป็นเหมือนแก้วที่มีน้ำครึ่งใบพร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ
2.เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
เมือบริษัทมีกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานเราต้องหาโอกาสไปให้ได้เพราะนี้เป็นโอกาสสำหรับเด็กใหม่ในการทำความรู้จักเพื่อนร่วมงานและรุ่นพี่ในบริษัทยิ่งเรารู้จักคนมาเท่าไรยิ่งดีเพราะเมื่อเรามีปัญหาในการทำงานเราก็สามารถปรึกษาพวกเขาเหล่านั้นได้แต่เราต้องไม่ตามเขาเหล่านั้นเสมอไปถ้าเราคิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกต้องเช่นการกลั่นแกล้งพนักงานคนอื่นหรือฉอโกงบริษัทเป็นต้น
3.รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
การทำงานมีการแข่งขันตลอดเวลาเช่นการแข่งขันทำผลงานระหว่างแผนกแผนกไหนชนะก็จะได้โบนัสมากขึ้นเมื่อเราชนะเราก็ไม่ควรเยาะเย้ยผู้แพ้และเมื่อเราเป็นผู้แพ้ก็ไม่ควรหมั่นไส้หรือโกรธเคืองผู้ชนะควรจะยินดีให้กับผู้ชนะและโอกาสหน้ามาแข่งกันใหม่ถ้าเราอยากชนะเราก็ต้องทำงานให้เต็มที่และทำงานให้เป็นทีมมากขึ้นเพื่อชัยชนะเป็นต้น
4.ต้องทราบจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง
ไม่มีใครที่ทำงานแรกๆแล้วจะเก่งไปทุกอย่างคนเรามีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนเมื่อเราทราบจุดแข็งของเราดีแล้วว่าเรามีจุดแข็งในการทำอะไรบ้างเช่นเราสามารถพูดคุยกับลูกค้าให้ลูกค้าเชื่อถือได้มากเราก็นำจุดแข็งนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงานต่อมาเราก็ต้องทราบจุดอ่อนของตัวเองเช่นเราไม่สามารถที่ต้องใช้ความละเอียดสูงได้เช่นการทำงานในการคำนวณที่ละเอียดเราก็ต้องค่อยๆฝึกฝนและพัฒนาทักษะความสามารถนั้นไปจนเราเก่งในที่สุดเพื่อเป็นการปิดจุดอ่อนของเรา
5.สร้างทัศนคติที่โดดเด่น
เมื่อเราทำงานไปเราก็จะรู้สึกทุกคนมีทัศนคติในการทำงานที่แตกต่างกันเราจำเป็นต้องทัศนคติในการทำงานในแง่บวกเพื่อการทำงานที่ทำได้อย่างเต็มที่และทัศนคติของเราต้องมีความเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องตามใครเช่นเราชอบการทำงานที่มีความละเอียดรอบคอบเราก็ทำงานของเราให้มีความละเอียดรอบคอบเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเรามีทัศนคติในการทำงานอย่างไรเป็นต้น
6.ควบคุมสติและลดอาการตื่นเต้น
เมื่อเราต้องนำเสนองานชิ้นแรกสิ่งแรกที่เราควรทำคือตั้งสติเพราะเมื่อเรามีสติแล้วไม่ว่าจะมีปัญหาเฉพาะหน้าอะไรเราก็สามารถแก้ไขได้ทันทีถ้าเราไม่มีสติตอนนั้นเราก็อาจจะตอบคำถามของลูกค้าหรือหัวหน้าได้ทำให้เราดูเป็นคนไม่เตรียมพร้อมอะไรเลย
1.คิดว่าตัวเองไม่ได้เก่งทุกอย่างไว้เสมอ
เมื่อเราเรียนจบใหม่ๆก็ต้องมีการอยากลองวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาอย่างแน่นอนแต่อย่าลืมว่าการทำงานจริงกับการเรียนนั้นนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเราอาจจะเก่งในห้องเรียนแต่เมื่อมาทำงานแล้วเราก็ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดทั้งการเรียนรู้สิ่งต่างๆที่จำเป็นในการทำงานและการทำงานร่วมกับผู้อื่นถ้าเราไม่ยอมรับในข้อนี้และคิดว่าตัวเองเก่งเราก็จะทำงานผิดพลาดได้เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานเลยระลึกไว้เสมอว่าต้องทำตัวให้เป็นเหมือนแก้วที่มีน้ำครึ่งใบพร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ
2.เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
เมือบริษัทมีกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานเราต้องหาโอกาสไปให้ได้เพราะนี้เป็นโอกาสสำหรับเด็กใหม่ในการทำความรู้จักเพื่อนร่วมงานและรุ่นพี่ในบริษัทยิ่งเรารู้จักคนมาเท่าไรยิ่งดีเพราะเมื่อเรามีปัญหาในการทำงานเราก็สามารถปรึกษาพวกเขาเหล่านั้นได้แต่เราต้องไม่ตามเขาเหล่านั้นเสมอไปถ้าเราคิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกต้องเช่นการกลั่นแกล้งพนักงานคนอื่นหรือฉอโกงบริษัทเป็นต้น
3.รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
การทำงานมีการแข่งขันตลอดเวลาเช่นการแข่งขันทำผลงานระหว่างแผนกแผนกไหนชนะก็จะได้โบนัสมากขึ้นเมื่อเราชนะเราก็ไม่ควรเยาะเย้ยผู้แพ้และเมื่อเราเป็นผู้แพ้ก็ไม่ควรหมั่นไส้หรือโกรธเคืองผู้ชนะควรจะยินดีให้กับผู้ชนะและโอกาสหน้ามาแข่งกันใหม่ถ้าเราอยากชนะเราก็ต้องทำงานให้เต็มที่และทำงานให้เป็นทีมมากขึ้นเพื่อชัยชนะเป็นต้น
4.ต้องทราบจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง
ไม่มีใครที่ทำงานแรกๆแล้วจะเก่งไปทุกอย่างคนเรามีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนเมื่อเราทราบจุดแข็งของเราดีแล้วว่าเรามีจุดแข็งในการทำอะไรบ้างเช่นเราสามารถพูดคุยกับลูกค้าให้ลูกค้าเชื่อถือได้มากเราก็นำจุดแข็งนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงานต่อมาเราก็ต้องทราบจุดอ่อนของตัวเองเช่นเราไม่สามารถที่ต้องใช้ความละเอียดสูงได้เช่นการทำงานในการคำนวณที่ละเอียดเราก็ต้องค่อยๆฝึกฝนและพัฒนาทักษะความสามารถนั้นไปจนเราเก่งในที่สุดเพื่อเป็นการปิดจุดอ่อนของเรา
5.สร้างทัศนคติที่โดดเด่น
เมื่อเราทำงานไปเราก็จะรู้สึกทุกคนมีทัศนคติในการทำงานที่แตกต่างกันเราจำเป็นต้องทัศนคติในการทำงานในแง่บวกเพื่อการทำงานที่ทำได้อย่างเต็มที่และทัศนคติของเราต้องมีความเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องตามใครเช่นเราชอบการทำงานที่มีความละเอียดรอบคอบเราก็ทำงานของเราให้มีความละเอียดรอบคอบเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเรามีทัศนคติในการทำงานอย่างไรเป็นต้น
6.ควบคุมสติและลดอาการตื่นเต้น
เมื่อเราต้องนำเสนองานชิ้นแรกสิ่งแรกที่เราควรทำคือตั้งสติเพราะเมื่อเรามีสติแล้วไม่ว่าจะมีปัญหาเฉพาะหน้าอะไรเราก็สามารถแก้ไขได้ทันทีถ้าเราไม่มีสติตอนนั้นเราก็อาจจะตอบคำถามของลูกค้าหรือหัวหน้าได้ทำให้เราดูเป็นคนไม่เตรียมพร้อมอะไรเลย
เทคนิคการบริหารเวลา
ไม่ว่าเราจะรวยจนแค่ไหนเราก็ไม่สามารถซื้อเวลาที่ผ่านไปแล้วกลับมาได้ดังนั้นเวลาจึงเป็นสิ่งที่โลกให้ทุกคนเท่าเทียมกันขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้เวลาของเราไปเพื่ออะไรใช้ทำอะไรใครใช้เวลาให้มีประโยชน์มากที่สุดก็จะได้ประโยชน์จากการกระทำเหล่านั้นมากที่สุดไม่ว่าเราจะมีหน้าที่การงานอะไรก็ตามมีฐานะรวยหรือจนถ้าเราไม่เอาแต่โทษโชคชะตาแต่ใช้เวลาที่มีอยู่ทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นเราก็จะไม่มีทางลำบากอย่างแน่นอนยิ่งเราบริหารเวลาได้ดีมากแค่ไหนเราก็จะได้เปรียบคนอื่นมากเท่านั้น
เทคนิคการบริหารเวลา
1.ปฏิทินชีวิต
-เป้าหมายของชีวิตของเราคืออะไรและเมื่อไหร่
-เราต้องผ่านบันไดกี่ขั้นถึงจะทำเป้าหมายนั้นได้สำเร็จ
2.ปฏิทินประจำปี
-ต้องใช้เวลากี่ปีจึงประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
-เราต้องเตรียมตัวในแต่ละปีอย่างไรและต้องปฏิบัติชีวิตอย่างไร
3.ปฏิทินประจำเดือน
-งานในรอบเดือนที่เราต้องทำมีอะไรบ้างที่สามารถทำได้โดยไม่ส่งผลเสียต่องานประจำ
-งานอะไรบ้างที่เราต้องทำโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
4.ปฏิทินประจำวัน
4.1งานที่สำคัญที่เราต้องทำ
-งานเร่งด่วน
-งานที่ไม่เร่งด่วน
4.2งานที่เราควรทำเป็นงานรอง
-งานเร่งด่วน
-งานที่ไม่เร่งด่วน
-งานที่เราต้องทำเพื่อพัฒนาทักษะของเรา
ยิ่งเราจัดการกับเวลาที่มีอยู่ของเราได้ดีเท่าไหร่เราก็จะได้เปรียบคนอื่นๆอย่างมากเมื่อเราสามารถจัดการเวลาที่เรามีอยู่เราสามารถใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดได้สังเกตุจากคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่แล้วจะมีการวางแผนจัดการเวลาไว้ก่อนทำอะไรก็ตามแต่
ทำงานด้วยใจที่เต็มร้อย
คนที่ทำงานกินเงินเดือนหรืองานบริษัทเมื่อทำงานไปเรื่อยๆจะเกิดอาการที่เรียกว่าเบื่อหน่ายกับงานที่ทำอยู่ไม่มีแรงใจทำงานในการทำงานเหมือนตอนทำงานแรกๆเพราะเบื่อกับบรรยากาศการทำงานเดิมๆและความไม่ก้าวหน้าในการทำงานทำให้อยากลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัวแต่หากเรามองในอีกมุมหนึ่งคนที่ทำงานกินเงินเดือนมีข้อได้เปรียบคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวอยู่หลายอย่างเช่นมีรายได้ที่แน่นอนไม่มีทางล้มละลายเพราะไม่ได้ลงทุนสามารถเปลี่ยนงานเมื่อไรก็ได้แต่ธุรกิจส่วนตัวเมื่อลงทุนไปแล้วก็ต้องต่อไปเรื่อยๆไม่สามารถตัดสินใจเปลี่ยนได้ทันทีทันได้เหมือนงานกินเงินเดือนอีกทั้งงานกินเงินเดือนมีวันหยุดที่แน่นอนแต่ธุรกิจส่วนตัวอาจจะต้องทำงาน24ชม.เพราะเราต้องจัดการทุกอย่างเองทั้งหมด
การทำงานด้วยใจที่เต็มร้อยต้องมีดังนี้
1.ทำงานที่รัก
เมื่อเราทำอะไรที่เราชอบเราจะทำมันได้ดีไม่วาจะเป็นเรื่องการเรียนหรือการทำงานก็ตามแต่สามารถนำมาใช้ได้เหมือนกันเมื่อเรารู้สึกสนุกและหลงใหลในการทำงานเราจะไม่รู้สึกเหนื่อยกับการทำงานเลยเราจะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องสนุกที่เราต้องทำถ้าเราคิดว่าการทำงานเป็นเรื่องสนุกได้ก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะรู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายกับการทำงานทำให้งานที่ออกมานั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
2.มีทัศนคติที่ดีในการงาน
ทัศนคติที่ดีมีความสำคัญต่อการทำงานอย่างมากเพราะคนที่ทัศนคติในการทำงานในแง่บวกจะเปรียบเสมือนคลังสมบัติที่พร้อมจะเก็บสิ่งของมีค่าไว้เสมอแตกต่างจากคนที่ทัศนคติในแง่ลบที่พร้อมจะรับสิ่งไม่ดีเข้ามาเก็บไว้เสมอเพราะฉะนั้นทัศนคติที่ดีจึงจำเป็นอย่างมากสำหรับคนที่ทำงานและต้องการประสบความสำเร็จต่อทั้งเพื่อนร่วมงานงานที่ทำงานและเจ้านายอีกด้วย
3.มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน
เราต้องมีสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงานและเจ้านายต้องมีศิลปะในการชักจูงให้คนที่ทำงานร่วมมือกันทำงานเป็นทีมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่บริษัทได้วางเอาไว้ไม่ถือว่าตัวเองเป็นใหญ่แต่ให้คิดว่าทุกคนมีความสำคัญกับงานที่ทำงานอยู่ไม่ว่าจะมีหน้าที่มากน้อยแค่ไหนก็ตาม
4.พัฒนาความสามารถตัวเองอยู่เสมอ
การพัฒนาตัวเองอยู่เสมอเป็นผลดีต่อตัวเองเพราะเมื่อเรามีความสามารถเพื่อมากขึ้นจากที่เราไม่รู้อะไรเลยก็จะทำให้เราเก่งจากที่เรามีความรู้แค่หนึ่งเมื่อเราตั้งใจเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอสิบก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเราก็มีงานทำมีเงินเดือนใช้ไม่ควรคิดเบื่อหน่ายหรือน้อยใจว่างานที่อยู่มันไม่ดีหรืออะไรให้คิดซะว่าเป็นการหาประสบการณ์ในการทำงานที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนไม่แน่เราอาจจะชอบมันก็ได้และทำมันได้ดีกว่าเรื่องที่ชอบอีกซะด้วย
7 วิธีการสู่ความสำเร็จในการทำงาน
ในการทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายก็จริงแต่ก็ไม่เกิดความพยายามของคนคนหนึ่งถ้าเรามีความพยายามและตั้งใจแล้วละก็คุณว่าความสำเร็จจะหนีคุณไปไหนได้กัน
7 วิธีการสู่ความสำเร็จในการทำงาน
1. ค้นเป้าหมายของชีวิตให้พบ
เราต้องค้นหาให้พบว่างานแบบไหนที่เราต้องการทำจริงๆงานอะไรที่เราชอบและเราถนัดมากที่สุดโดยการหาเวลาพูดกับตัวเองเสมอว่างานที่เราทำอยู่นั้นเราสามารถทำมันได้เต็มความสามารถที่เรามีหรือไม่ และจะทำอย่างไรเพื่อจะไปให้ถึงจุดนั้นได้
2. มีความสุขกับงานที่ทำ
เมื่อค้นพบแล้วคราวนี้ก็มาสนุกกับงานที่ทำให้เต็มที่เพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสนุกงานที่ออกมานั้นก็จะดีตามเราก็จะมีแรงกระตุ้นให้ทำงานนั้นๆให้ดีที่สุดและประสบความสำเร็จให้ได้
3. ความเชื่อมั่น
เพื่อความสำเร็จอย่าลืมที่จะมีความมุ่งมั่นลงไปในงานที่ทำด้วยเพราะเมื่อไรก็ตามที่เรามุ่งมั่นในการทำงานด้วยความขยันบวกกับความเชื่อมั่นในตัวเองและกล้าที่จะคิดและทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นได้ รับรองได้เลยว่าผลลัพธ์คือความสำเร็จแน่นอนเลยทีเดียว
4. ความคิดสร้างสรรค์
ผู้ที่ประสบกับความสำเร็จมักจะเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์และถ้าเราใช้ความคิดสร้างสรรค์นั้นมาเป็นตัวช่วยในการทำงานเราก็จะมีไอเดียในการทำงานอยู่เสมอเราจะเป็นที่ต้องการของทุกองค์กรอย่างแน่นอนที่สุดอย่าเพิ่งหยุดคิดแม้วันนี้จะยังไม่ใช่แต่สักวันมันต้องใช่แน่นอน
5. การปรับตัวให้เร็ว
เชื่อว่าเราทุกคนต้องเคยพบกับปัญหาการอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานใหม่ๆที่มีนิสัยที่แตกต่างกันมากจนกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความสุขในการทำงานอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่ต้องทำคือปรับตัวเราจะปรับเปลี่ยนบางอย่างของเราเพื่อให้เข้ากับสังคมในที่ทำงานให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
6. คิดในแง่บวกเสมอ
ไม่นำความผิดพลาดเล็กน้อยๆหรือความผิดพลาดที่ผ่านมาในอดีตมาบั่นทอดพลังในการทำงานและหมั่นคิดหมั่นทำท่าทีให้เป็นบวกเข้าไว้อย่าย่อท้อต่ออุปสรรคยิ้มเข้าไว้แล้วเราจะได้เป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานได้ไม่ยากเลย
7. มีความซื่อสัตย์และชอบช่วยเหลือผู้อื่น
รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายและช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานทุกครั้งที่มีโอกาสเพราะวันหนึ่งเราอาจจะต้องให้เพื่อนร่วมงานคนนั้นช่วยเหลือเราเหมือนกันและมีน้ำใจอย่างคุณนี่แหล่ะที่ทุกองค์กรต้องการจะทำอะไรก็มีคนคอยสนับสนุนและผลักดันให้เจริญก้าวหน้าเพราะเรามีมิตรภาพที่ดีไม่สร้างศัตรูผูกมิตรอยู่เสมอ
7 วิธีการสู่ความสำเร็จในการทำงาน
1. ค้นเป้าหมายของชีวิตให้พบ
เราต้องค้นหาให้พบว่างานแบบไหนที่เราต้องการทำจริงๆงานอะไรที่เราชอบและเราถนัดมากที่สุดโดยการหาเวลาพูดกับตัวเองเสมอว่างานที่เราทำอยู่นั้นเราสามารถทำมันได้เต็มความสามารถที่เรามีหรือไม่ และจะทำอย่างไรเพื่อจะไปให้ถึงจุดนั้นได้
2. มีความสุขกับงานที่ทำ
เมื่อค้นพบแล้วคราวนี้ก็มาสนุกกับงานที่ทำให้เต็มที่เพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสนุกงานที่ออกมานั้นก็จะดีตามเราก็จะมีแรงกระตุ้นให้ทำงานนั้นๆให้ดีที่สุดและประสบความสำเร็จให้ได้
3. ความเชื่อมั่น
เพื่อความสำเร็จอย่าลืมที่จะมีความมุ่งมั่นลงไปในงานที่ทำด้วยเพราะเมื่อไรก็ตามที่เรามุ่งมั่นในการทำงานด้วยความขยันบวกกับความเชื่อมั่นในตัวเองและกล้าที่จะคิดและทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นได้ รับรองได้เลยว่าผลลัพธ์คือความสำเร็จแน่นอนเลยทีเดียว
4. ความคิดสร้างสรรค์
ผู้ที่ประสบกับความสำเร็จมักจะเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์และถ้าเราใช้ความคิดสร้างสรรค์นั้นมาเป็นตัวช่วยในการทำงานเราก็จะมีไอเดียในการทำงานอยู่เสมอเราจะเป็นที่ต้องการของทุกองค์กรอย่างแน่นอนที่สุดอย่าเพิ่งหยุดคิดแม้วันนี้จะยังไม่ใช่แต่สักวันมันต้องใช่แน่นอน
5. การปรับตัวให้เร็ว
เชื่อว่าเราทุกคนต้องเคยพบกับปัญหาการอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานใหม่ๆที่มีนิสัยที่แตกต่างกันมากจนกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความสุขในการทำงานอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่ต้องทำคือปรับตัวเราจะปรับเปลี่ยนบางอย่างของเราเพื่อให้เข้ากับสังคมในที่ทำงานให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
6. คิดในแง่บวกเสมอ
ไม่นำความผิดพลาดเล็กน้อยๆหรือความผิดพลาดที่ผ่านมาในอดีตมาบั่นทอดพลังในการทำงานและหมั่นคิดหมั่นทำท่าทีให้เป็นบวกเข้าไว้อย่าย่อท้อต่ออุปสรรคยิ้มเข้าไว้แล้วเราจะได้เป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานได้ไม่ยากเลย
7. มีความซื่อสัตย์และชอบช่วยเหลือผู้อื่น
รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายและช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานทุกครั้งที่มีโอกาสเพราะวันหนึ่งเราอาจจะต้องให้เพื่อนร่วมงานคนนั้นช่วยเหลือเราเหมือนกันและมีน้ำใจอย่างคุณนี่แหล่ะที่ทุกองค์กรต้องการจะทำอะไรก็มีคนคอยสนับสนุนและผลักดันให้เจริญก้าวหน้าเพราะเรามีมิตรภาพที่ดีไม่สร้างศัตรูผูกมิตรอยู่เสมอ
6P สำหรับความสำเร็จในการทำงาน
การทำงานทุกคนต้องคาดหวังถึงความสำเร็จแม้ว่างานนั้นจะยากมากแค่ไหนคนที่คาดหวังถึงความสำเร็จอยู่เสมอจะเป็นคนที่ทำงานได้ดีเพราะมีความกระตือรือร้นตลอดเวลาทำให้งานที่ออกมานั้นดีตาม
6P สำหรับความสำเร็จในการทำงาน
1.P-Positive Thinking
คือการมีความคิดแง่บวกในการทำงานมองโลกในแง่ดีเสมอเมื่อเจอปัญหาใดๆเช่นเมื่อทำงานแล้วเจอปัญหาใดๆก็ตามในการทำงานไม่คิดถึงแต่ปัญหาและนั่งกลุ้มใจคิดว่าเราต้องแย่แน่ๆให้เราคิดว่าสิ่งต่างๆจะเป็นบทเรียนให้เราในอนาคตเมื่อเกิดปัญหาอีกเราก็พร้อมจะรับมือ
2.P-Peaceful Mind
การมีจิตใจที่ดีงามอยู่เสมอเวลาเกิดปัญหาอะไรก็ตามขึ้นไม่ควรใช้กำลังหรืออารมณ์ในการตัดสินปัญหาเด็ดขาดเพราะยิ่งเราใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหาก็จะยิ่งทำให้สิ่งต่างๆนั้นแย่ลงต้องมีจิตใจที่สงบมีสมาธิจะทำให้เราแก้ไขปัญหาได้ทันทีและแก้ไขปัญหาถูกจุดอีกทั้งยังทำให้รามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
3.P-Patient
ความอดทนอดกลั้นกับบความรู้สึกต่างๆคนเราไม่จำเป็นต้องได้ทุกอย่างในทันทีเราต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมของเราไม่ควรใจร้อนหรือใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหาหรือใช้อารมณ์ในการอยากได้อยากมีในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองเด็ดขาดเพราะจส่งผลเสียต่อตัวเองและผู้อื่น
4.P-Punctual
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากสำหรับการทำงานคือการตรงต่อเวลาไม่ใช่เพียงแค่มาทำงานตรงต่อเวลารวมไปถึงการนัดหมายการทำงานให้ตรงตามเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้เพื่อให้เราฝึกความมีระเบียบวินัยในตัวเองเมื่อเราสามารถรักษาในส่วนนี้ได้ก็จะมีเรื่องดีๆตามมาอีกมากมาย
5.P-Polite
เมื่อเราเข้าไปทำงานใหม่ๆแน่นอนจะต้องมีรุ่นพี่รุ่นน้องและผู้อาวุโสเราต้องให้ความเคารพและมีสัมมาคารวะถึงแม้ว่าตำแหน่งของเราจะสูงกว่าก็ตามคนที่ทำงานร่วมกันควรอยู่กันแบบพี่น้องมากกว่าอยู่แบบนับตำแหน่งงานเป็นหลักเพื่อให้เกิดความสนิทสนมในการทำงานมากขึ้น
6.P-Professional
มีความเป็นมืออาชีพในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเพราะในปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ทำให้ละเลยอะไรที่คิดว่าไม่ำสคัญไปแต่ความจริงแล้วมันสำคัญอย่างมากถ้าเราสามารถแสดงความเป็นมืออาชีพให้ลูกค้าเห็นลูกค้าก็ไว้ใจเชื่อใจเราในการทำงานต่อไป
6P สำหรับความสำเร็จในการทำงาน
1.P-Positive Thinking
คือการมีความคิดแง่บวกในการทำงานมองโลกในแง่ดีเสมอเมื่อเจอปัญหาใดๆเช่นเมื่อทำงานแล้วเจอปัญหาใดๆก็ตามในการทำงานไม่คิดถึงแต่ปัญหาและนั่งกลุ้มใจคิดว่าเราต้องแย่แน่ๆให้เราคิดว่าสิ่งต่างๆจะเป็นบทเรียนให้เราในอนาคตเมื่อเกิดปัญหาอีกเราก็พร้อมจะรับมือ
2.P-Peaceful Mind
การมีจิตใจที่ดีงามอยู่เสมอเวลาเกิดปัญหาอะไรก็ตามขึ้นไม่ควรใช้กำลังหรืออารมณ์ในการตัดสินปัญหาเด็ดขาดเพราะยิ่งเราใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหาก็จะยิ่งทำให้สิ่งต่างๆนั้นแย่ลงต้องมีจิตใจที่สงบมีสมาธิจะทำให้เราแก้ไขปัญหาได้ทันทีและแก้ไขปัญหาถูกจุดอีกทั้งยังทำให้รามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
3.P-Patient
ความอดทนอดกลั้นกับบความรู้สึกต่างๆคนเราไม่จำเป็นต้องได้ทุกอย่างในทันทีเราต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมของเราไม่ควรใจร้อนหรือใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหาหรือใช้อารมณ์ในการอยากได้อยากมีในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองเด็ดขาดเพราะจส่งผลเสียต่อตัวเองและผู้อื่น
4.P-Punctual
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากสำหรับการทำงานคือการตรงต่อเวลาไม่ใช่เพียงแค่มาทำงานตรงต่อเวลารวมไปถึงการนัดหมายการทำงานให้ตรงตามเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้เพื่อให้เราฝึกความมีระเบียบวินัยในตัวเองเมื่อเราสามารถรักษาในส่วนนี้ได้ก็จะมีเรื่องดีๆตามมาอีกมากมาย
5.P-Polite
เมื่อเราเข้าไปทำงานใหม่ๆแน่นอนจะต้องมีรุ่นพี่รุ่นน้องและผู้อาวุโสเราต้องให้ความเคารพและมีสัมมาคารวะถึงแม้ว่าตำแหน่งของเราจะสูงกว่าก็ตามคนที่ทำงานร่วมกันควรอยู่กันแบบพี่น้องมากกว่าอยู่แบบนับตำแหน่งงานเป็นหลักเพื่อให้เกิดความสนิทสนมในการทำงานมากขึ้น
6.P-Professional
มีความเป็นมืออาชีพในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเพราะในปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ทำให้ละเลยอะไรที่คิดว่าไม่ำสคัญไปแต่ความจริงแล้วมันสำคัญอย่างมากถ้าเราสามารถแสดงความเป็นมืออาชีพให้ลูกค้าเห็นลูกค้าก็ไว้ใจเชื่อใจเราในการทำงานต่อไป
จะทำอย่างไรเมื่อเราไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่องค์กรได้วางเอาไว้
ถ้าเกิดทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้ก็จะส่งผลให้มีความรู้สึกไม่มีแรงใจในการทำงานต่อไปเพราะกลัวทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายเหมือนงานที่ผ่านมา
จะทำอย่างไรเมื่อเราไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่องค์กรได้วางเอาไว้
เมื่อได้รับมอบหมายงานแต่เราไม่สามารทำงานให้ตรงตามเป้าหมายที่เราคาดหวังไว้ได้ก็จะส่งผลให้พนักงานไม่มีกำลังใจในการทำงานรู้สึกท้อแท้ในการทำงานและกดดันตัวเองซึ่งจะส่งผลเสียให้พนักงานทำงานชิ้นต่อไปได้ไม่ดีเพราะมัวจมอยู่กับความผิดพลาดในอดีตดังนั้นเมื่อเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เราทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้มีวิธีดังต่อไปนี้ในการแก้ไขปัญหา
1.SELF-MOTIVATION
เมื่อเราทำงานผิดพลาดหรือไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ไม่ควรจมอยู่กับความทุกข์หรืออดีตที่ผิดผ่านที่ผ่านมาเราต้องรู้จักนำความผิดพลาดในอดีตมาแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกหรือเพื่อให้ทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
2.IDENTIFY ROOT CAUSE
เมื่อเราทำงานไม่ได้ตรงตามเป้าหมายทีมงานก็ต้องมานั่งประชุมร่วมกันถกปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเหตุใดงานถึงไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้และช่วยกันแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อให้งานนั้นเป็นไปตามเป้าหมายทุกคนต้องช่วยกันไม่ว่าหน้าที่ของเราจะมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนต่องาน
3.ACTION PLAN & IMPLEMEMTATION
หลังจากที่ทีมงานร่วมกันประชุมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วขั้นตอนต่อไปก็คือการลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังโดยนำแผนในการแก้ไขปัญหาที่ร่วมกันประชุมมาลงมือทำและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะไปพร้อมๆกันเพื่อให้การแก้ไขปัญหานั้นแก้ไขได้อย่างถูกจุดที่สุด
4.EXECUTION AND FOLLOW UP
ทำงานตามแผนใหม่ที่วางไว้และกำหนดระยะเวลาที่งานควรเสร็จให้แน่นอนควรเผื่อเวลาสำหรับความผิพลาดที่จะเกิดขึ้นกับงานเอาไว้ด้วยเพื่อให้เรามีเวลาแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที
การทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้และอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นๆที่เราไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้เช่นวันเวลาที่มีจำกัดงบประมาณที่ได้รับมาน้อยหรือเกิดจากการผิดพลาดของคนอื่นๆที่ไม่ใช่ตัวของเราซึ่งสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถเข้าไปควบคมมันได้อย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นถ้าเกิดงานไม่ได้ตรงตามที่วางเป้าหมายไว้เราก็ควรภูมิใจว่าเราทำงานนั้นเต็มที่มากที่สุดแล้ว
จะทำอย่างไรเมื่อเราไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่องค์กรได้วางเอาไว้
เมื่อได้รับมอบหมายงานแต่เราไม่สามารทำงานให้ตรงตามเป้าหมายที่เราคาดหวังไว้ได้ก็จะส่งผลให้พนักงานไม่มีกำลังใจในการทำงานรู้สึกท้อแท้ในการทำงานและกดดันตัวเองซึ่งจะส่งผลเสียให้พนักงานทำงานชิ้นต่อไปได้ไม่ดีเพราะมัวจมอยู่กับความผิดพลาดในอดีตดังนั้นเมื่อเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เราทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้มีวิธีดังต่อไปนี้ในการแก้ไขปัญหา
1.SELF-MOTIVATION
เมื่อเราทำงานผิดพลาดหรือไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ไม่ควรจมอยู่กับความทุกข์หรืออดีตที่ผิดผ่านที่ผ่านมาเราต้องรู้จักนำความผิดพลาดในอดีตมาแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกหรือเพื่อให้ทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
2.IDENTIFY ROOT CAUSE
เมื่อเราทำงานไม่ได้ตรงตามเป้าหมายทีมงานก็ต้องมานั่งประชุมร่วมกันถกปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเหตุใดงานถึงไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้และช่วยกันแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อให้งานนั้นเป็นไปตามเป้าหมายทุกคนต้องช่วยกันไม่ว่าหน้าที่ของเราจะมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนต่องาน
3.ACTION PLAN & IMPLEMEMTATION
หลังจากที่ทีมงานร่วมกันประชุมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วขั้นตอนต่อไปก็คือการลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังโดยนำแผนในการแก้ไขปัญหาที่ร่วมกันประชุมมาลงมือทำและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะไปพร้อมๆกันเพื่อให้การแก้ไขปัญหานั้นแก้ไขได้อย่างถูกจุดที่สุด
4.EXECUTION AND FOLLOW UP
ทำงานตามแผนใหม่ที่วางไว้และกำหนดระยะเวลาที่งานควรเสร็จให้แน่นอนควรเผื่อเวลาสำหรับความผิพลาดที่จะเกิดขึ้นกับงานเอาไว้ด้วยเพื่อให้เรามีเวลาแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที
การทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้และอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นๆที่เราไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้เช่นวันเวลาที่มีจำกัดงบประมาณที่ได้รับมาน้อยหรือเกิดจากการผิดพลาดของคนอื่นๆที่ไม่ใช่ตัวของเราซึ่งสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถเข้าไปควบคมมันได้อย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นถ้าเกิดงานไม่ได้ตรงตามที่วางเป้าหมายไว้เราก็ควรภูมิใจว่าเราทำงานนั้นเต็มที่มากที่สุดแล้ว
3 ปัจจัยที่ช่วยให้คนจบใหม่ได้งาน
ปัจจุบันมีคนจบใหม่ออกมามากมายและไม่มีงานทำเพราะด้วยเหตุผลหลายประการทั้งเลือกงานมากเกินไป คุณสมบัติไม่เพียงพอต่อตำแหน่งงาน รายได้ไม่ตรงตามที่ต้องการ และอีกหลายๆเหตุผลซึ่งทำให้คนจบใหม่ตกงานเป็นจำนวนมากจะต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นหนึ่งในคนจบใหม่ที่ตกงานซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอนเพราะยิ่งเราว่างงานนานแค่ไหนเราก็จะไม่มีประสบการณ์ในการทำงานซึ่งส่งผลเสียต่ออนาคตอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาบอกปัจจัยที่ช่วยให้คนจบใหม่ได้งานทำซึ่งมีดังนี้
1.Internship
นักศึกษาทุกคนเคยผ่านการฝึกงานมาแล้วทั้งนั้นแล้วในเมื่อทุกคนเคยผ่านการฝึกงานมาแล้วทั้งนั้นการฝึกงานจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เราได้งานได้อย่างไรแต่ถ้าเราดูดีๆเราจะเห็นว่าการฝึกงานเป็นเวลาที่เราได้แสดงความสามารถให้พี่ๆที่ทำงานได้เห็นและประทับใจในตัวเราว่าเราทำงานได้ดีแค่ไหนขยันหรือเปล่ามีความอดทนมากแค่ไหนซึ่งจะทำให้พี่ๆเห็นถึงความสามารถของเราเมื่อเราเรียนจบเราก็จะมีความคุ้นเคยกับรุ่นพี่ที่ทำงานสิ่งนี้จะทำให้เรามีโอกาสได้รับเลือกเข้าทำงานมากกว่าคนอื่นที่ไม่เป็นที่ประทับใจในระหว่างการฝึกงานถ้ายิ่งตอนฝึกงานเราแสดงความสามารถที่เด่นชัดเราอาจจะได้รับการจองตัวจากบริษัทและนี่คือทำไม Intership จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการได้งานของคนจบใหม่
2.Network
สายสัมพันธ์ในการทำงานเป็นอีกอย่างที่สำคัญอย่างมากมนุษย์จำเป็นต้องมีสังคมไม่มีใครที่สามารถอยู่คนเดียวได้การสร้างสายสัมพันธ์ในการทำงานทำได้สองวิธีคือ
-การเข้าไปฝึกงานและได้รู้จักพี่ๆในที่ทำงานซึ่งเป็นด่านแรกที่สุดที่จะทำให้เรารู้จักคนมากขึ้น
-เมื่อเราเข้าไปฝึกงานหรือทำงานเราต้องได้ร่วมงานกับคนนอกบริษัทที่ทำงานในสายเดียวกันเราต้องรู้จักสะสมความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากพี่ๆที่ร่วมงานทั้งด้านดีและด้านไม่ดีเพื่อเอามาปรับปรุงใช้กับตัวเราเองไม่ควรทำตามคนอื่นทุกอย่างเราต้องหาจุดที่เราคิดว่าลงตัวกับเรามากที่สุด
ยิ่งรู้จักคนมากเท่าไรเราก็ยิ่งมีประสบการณ์ในเรื่องต่างๆมากขึ้นทำให้การทำงานของเราดีขึ้นตาม
3.Passion
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเพราะเมื่อเรามีแรงบันดาลใจอะไรมากๆเราก็ยิ่งสนใจที่จะทำสิ่งนั้นเต็มที่จนทำให้เราดูเป็นคนที่กระตือรือร้นในการทำงานเวลาสัมภาษณ์งานก็เช่นกันผู้สัมภาษณ์ก็จะรู้สึกถึงความตั้งใจและตั้งมั่นที่มีซึ่งทำให้เรามีโอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าทำงานมากกว่าคนที่ไม่ตั้งใจจะมาสัมภาษณ์งานมาสัมภาษณ์เพราะไม่มีทางเลือก
ทั้ง3 ปัจจัยข้างต้นถ้าคนจบใหม่คนไหนมีทั้ง3 ข้อก็จะทำให้มีโอกาสในการได้รับเลือกเข้าทำงานอย่างแน่นอนเพราะทั้ง 3ปัจจัยเป็นสิ่งพื้นฐานที่สำคัญที่จะทำให้บริษัทสนใจในตัวเรามากกว่าใครๆ
สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษเตรียมตัวอย่างไรดี
ในปัจจุบันถ้าเราต้องการเงินเดือนที่สูงเราต้องทำงานบริษัทต่างชาติและการทำงานกับบริษัทต่างชาติก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและการสัมภาษณ์งานก็เช่นกันหลายคนกลัวเรื่องการสื่อสารกับชาวต่างชาติกลัวว่าจะพูดถูกๆผิดๆกลัวว่าจะฟังไม่ออกแล้วเราจะเตรียมตัวอย่างไรดีเพื่อให้การสัมภาษณ์งานนั้นผ่านไปได้ด้วยดี
สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษเตรียมตัวอย่างไรดี
ก่อนที่เราจะเริ่มสัมภาษณ์งานเราควรฝึกภาษาในชีวิตประจำวันให้คุ้นชินก่อนประเมินจุดอ่อนและจุดแข็งของคุณและคิดว่าควรจะปรับปรุงมันอย่างไรเช่นถ้าเรารู้ตัวว่าเราฟังได้ดีแต่พูดไม่เก่งเราก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความเคยชินอาจจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับคนใกล้ตัวหรือสื่อสารกับคนต่างชาติผ่านทางอินเทอร์เน็ตเป็นต้นสิ่งที่สำคัญคือเราต้องไม่ท้อไม่ว่าจะยากแค่ไหนเพราะเราสามารถฝึกฝนในสิ่งที่เราไม่ถนัดได้ขอเพียงแค่ไม่ท้อเท่านั้นเองท่าทางในการสื่อสารก็เป็นสิ่งที่สำคัญเมื่อเรามีการสื่อสารที่ดีและท่าทางที่ออกไปนั้นเหมาะสมผู้ฟังก็จะรู้สึกอยากฟังในสิ่งที่เราพูดมากยิ่งขึ้น
1.รู้จักวัฒนธรรมของชาวต่างชาติทั้งการทักทายเช่นการจับมือหรือโอบกอดและต้องมีความเชื่อมั่นการจับมือทักทายแสดงถึงความมีมรรยาทในการทักทายของชาวต่างชาติเป็นต้น
2.เรียนรู้ตัวเองเพื่อนำเสนอตัวเองได้ชัดเจนมากที่สุดโดยให้เวลากับตัวเองมากๆรวมทั้งเราต้องรู้ศักยภาพของตัวเราเองด้วยว่ามีแค่ไหนความสำเร็จที่เคยผ่านมาสิ่งที่สามารถทำได้และทำไม่ได้สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ถนัดเป็นต้นถ้าเราสามารถบอกข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ได้ทั้งหมดจะช่วยให้เราสื่อสารได้งานมากยิ่งขึ้นการใช้เอกสารเป็นตัวประกอบการสัมภาษณ์งานก็เป็นสิ่งสำคัญเราต้องฝึกพูดกับตัวเองหน้ากระจกเสมอเพื่อให้เกิดความเคยชินในการใช้ภาษาและต้องเตรียมพร้อมรับมือปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าด้วย
3.รู้จักคำถามที่จะได้พบบ่อยในการสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ
-Why you choose to work with us?
ทำไมคุณถึงเลือกทำงานกับเรา
-Do you experience working like this before?
คุณมีประสบการณ์ในการทำงานนี้มาก่อนหรือไม่
-Did you plan on developing your skills?
คุณวางแผนที่จะพัฒนาทักษะความสามารถของตัวเองหรือไม่
-How much do you expect on your salary?
คุณต้องการรายได้เท่าไร
สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษเตรียมตัวอย่างไรดี
ก่อนที่เราจะเริ่มสัมภาษณ์งานเราควรฝึกภาษาในชีวิตประจำวันให้คุ้นชินก่อนประเมินจุดอ่อนและจุดแข็งของคุณและคิดว่าควรจะปรับปรุงมันอย่างไรเช่นถ้าเรารู้ตัวว่าเราฟังได้ดีแต่พูดไม่เก่งเราก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความเคยชินอาจจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับคนใกล้ตัวหรือสื่อสารกับคนต่างชาติผ่านทางอินเทอร์เน็ตเป็นต้นสิ่งที่สำคัญคือเราต้องไม่ท้อไม่ว่าจะยากแค่ไหนเพราะเราสามารถฝึกฝนในสิ่งที่เราไม่ถนัดได้ขอเพียงแค่ไม่ท้อเท่านั้นเองท่าทางในการสื่อสารก็เป็นสิ่งที่สำคัญเมื่อเรามีการสื่อสารที่ดีและท่าทางที่ออกไปนั้นเหมาะสมผู้ฟังก็จะรู้สึกอยากฟังในสิ่งที่เราพูดมากยิ่งขึ้น
1.รู้จักวัฒนธรรมของชาวต่างชาติทั้งการทักทายเช่นการจับมือหรือโอบกอดและต้องมีความเชื่อมั่นการจับมือทักทายแสดงถึงความมีมรรยาทในการทักทายของชาวต่างชาติเป็นต้น
2.เรียนรู้ตัวเองเพื่อนำเสนอตัวเองได้ชัดเจนมากที่สุดโดยให้เวลากับตัวเองมากๆรวมทั้งเราต้องรู้ศักยภาพของตัวเราเองด้วยว่ามีแค่ไหนความสำเร็จที่เคยผ่านมาสิ่งที่สามารถทำได้และทำไม่ได้สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ถนัดเป็นต้นถ้าเราสามารถบอกข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ได้ทั้งหมดจะช่วยให้เราสื่อสารได้งานมากยิ่งขึ้นการใช้เอกสารเป็นตัวประกอบการสัมภาษณ์งานก็เป็นสิ่งสำคัญเราต้องฝึกพูดกับตัวเองหน้ากระจกเสมอเพื่อให้เกิดความเคยชินในการใช้ภาษาและต้องเตรียมพร้อมรับมือปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าด้วย
3.รู้จักคำถามที่จะได้พบบ่อยในการสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ
-Why you choose to work with us?
ทำไมคุณถึงเลือกทำงานกับเรา
-Do you experience working like this before?
คุณมีประสบการณ์ในการทำงานนี้มาก่อนหรือไม่
-Did you plan on developing your skills?
คุณวางแผนที่จะพัฒนาทักษะความสามารถของตัวเองหรือไม่
-How much do you expect on your salary?
คุณต้องการรายได้เท่าไร
สร้าง...ทีมทีมเวิร์คในการทำงาน
การทำงานต้องทำงานเป็นทีมถึงจะทำให้ประสบความสำเร็จเราต้องเรียนรู้การสร้างทีมเวิร์คในการทำงานเพื่อช่วยให้การทำงานนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและและทำงานได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น
เราจะสร้างทีมเวิร์คได้อย่างไร
การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วยการสร้างทีมเวิร์คนั้นเราจะเห็นได้ในองค์กรต่างๆอยู่หลายครั้งโดยขึ้นอยู่กับแต่ละองค์กรมีนโยบายอย่างไรบ้างที่จะชักจูงหรือกระตุ้นพนักงานให้เกิดแนวความคิดที่จะเห็นความสำคัญของทีมเวิร์กในการทำงานเราต้องอธิบายให้เห็นว่าทีมเวิร์คนั้นส่งผลดีต่อการทำงานมากแค่ไหนเหมือนมีทีมเวิร์คในการทำงานแล้วผลที่ได้รับของพนักงานคืออะไรเป็นต้น
จุดประสงค์ที่ชัดเจน
หัวหน้างานต้องมีความสามารถในการสื่อสารกับลูกทีมสื่อสารกับลูกทีมว่าทำไมเราจำเป็นต้องมีทีมเวิร์คในการทำงานแสดงผลที่ได้รับจากการมีทีมเวิร์คในการทำงานให้ลูกทีมได้เห็นแสดงเป้าหมายในการทำงานให้ชัดเจนให้ลูกน้องเห็นว่าความคาดหวังของทีมคืออะไร
การแบ่งสรรงานให้เหมาะสม
ลูกทีมต้องเห็นความสำคัญของงานที่ตัวเองได้รับจากหัวหน้างานเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายที่มีร่วมกันเห็นการทำงานของตัวเองว่าเป้นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของทีมเพราะว่าเมื่อลูกทีมเห็นว่าตัวเองมีความสำคัญหรือเป็นส่วนหนึ่งของทีมแล้วก็จะรู้สึกอยากทำงานของตัวเองที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงดังนั้นหัวหน้างานต้องแสดงถึงความสำคัญของงานที่ได้มอบหมายให้ลูกทีมทำว่ามีความสำคัญมากแค่ไหน
ความสามารถของคนในทีม
นอกจากที่เราต้องถึงเทคนิคในการชักจูงลูกทีมให้เห็นถึงความสำคัญของทีมเวิร์คแล้วเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือความสามารถของลูกทีมว่าลูกทีมแต่ละคนมีความสามารถแค่ไหนและเหมาะสมกับงานประเภทไหนบ้างการคัดเลือกให้ทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถที่เขามีจะทำให้เขาทำงานนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการเลือกคนที่เก่งมาทำงานที่เขาไม่ถนัดเพราะในทีมจะต้องมีหลายๆส่วนประกอบกันทั้งผู้นำ ผู้ตาม ผู้คิด และผู้ปฎิบัติ
การร่วมมือกันในสมาชิกภายในทีม
ลูกทีมต้องเข้าใจกระบวนการทำงานของทีมอย่างละเอียดลึกซึ้งเพื่อให้การทำงานนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดการทำงานเป็นทีมย่อมมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างแน่นอนแต่ลูกทีมต้องเข้าใจถึงหน้าที่ของตัวเองว่าต้องทำอะไรบ้างส่วนหัวหน้าทีมมีหน้าที่ดูปัญหาที่จะเกิดขึ้นและแก้ไขปัญหาอีกทั้งยังต้องช่วยเหลือลูกทีมในการตัดสินใจหาทางออกของปัญหาที่เหมาะสม
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ในปัจจุบันการแข่งขันมีมากมายถ้าเราไม่มีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆขึ้นมาเราก็ไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทอื่นได้อย่างแน่นอนดังนั้นเราต้องกระตุ้นให้ลูกทีมเห็นถึงความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์และผลประโยชน์ที่จะได้รับเช่นถ้าลูกทีมคนไหนมีความคิดสร้างสรรค์ที่น่าสนใจและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ก็จะได้รับรางวัลหรืออาจจะจัดกิจกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ให้กับลูกทีมขึ้นมาซึ่งมีส่วนสำคัญให้ลูกทีมเกิดไอเดียใหม่ๆในการทำงานมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลง
ในปัจจุบันยุดสมัยเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากเราไม่สามารถอยู่กับทีมเดิมๆหรือหัวหน้าเดิมๆได้ตลอดเวลาเมื่อถึงเวลาที่เราต้องถูกโยกย้ายหรือมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้างานเราต้องพร้อมรับมือเสมอเพื่อให้ทำงานได้อย่างไม่มีปัญหาลูกทีมจึงต้องมีภูมิต้านต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ
ความพร้อม
ทีมที่จะมีความพร้อมคือทีมที่มีผู้นำหรือหัวหน้างานที่ดีมีเพื่อนร่วมทีมที่เข้าใจซึ่งกันและกันและยังสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งดังนั้นเมื่อลูกค้าถามคำถามมาลูกทีมทุกคนต้องสามารถตอบคำถามนั้นได้ทันทีและสามารถชี้แจ้งรายละเอียดให้ลูกค้าได้เข้าใจอย่างครบถ้วน
เราจะสร้างทีมเวิร์คได้อย่างไร
การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วยการสร้างทีมเวิร์คนั้นเราจะเห็นได้ในองค์กรต่างๆอยู่หลายครั้งโดยขึ้นอยู่กับแต่ละองค์กรมีนโยบายอย่างไรบ้างที่จะชักจูงหรือกระตุ้นพนักงานให้เกิดแนวความคิดที่จะเห็นความสำคัญของทีมเวิร์กในการทำงานเราต้องอธิบายให้เห็นว่าทีมเวิร์คนั้นส่งผลดีต่อการทำงานมากแค่ไหนเหมือนมีทีมเวิร์คในการทำงานแล้วผลที่ได้รับของพนักงานคืออะไรเป็นต้น
จุดประสงค์ที่ชัดเจน
หัวหน้างานต้องมีความสามารถในการสื่อสารกับลูกทีมสื่อสารกับลูกทีมว่าทำไมเราจำเป็นต้องมีทีมเวิร์คในการทำงานแสดงผลที่ได้รับจากการมีทีมเวิร์คในการทำงานให้ลูกทีมได้เห็นแสดงเป้าหมายในการทำงานให้ชัดเจนให้ลูกน้องเห็นว่าความคาดหวังของทีมคืออะไร
การแบ่งสรรงานให้เหมาะสม
ลูกทีมต้องเห็นความสำคัญของงานที่ตัวเองได้รับจากหัวหน้างานเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายที่มีร่วมกันเห็นการทำงานของตัวเองว่าเป้นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของทีมเพราะว่าเมื่อลูกทีมเห็นว่าตัวเองมีความสำคัญหรือเป็นส่วนหนึ่งของทีมแล้วก็จะรู้สึกอยากทำงานของตัวเองที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงดังนั้นหัวหน้างานต้องแสดงถึงความสำคัญของงานที่ได้มอบหมายให้ลูกทีมทำว่ามีความสำคัญมากแค่ไหน
ความสามารถของคนในทีม
นอกจากที่เราต้องถึงเทคนิคในการชักจูงลูกทีมให้เห็นถึงความสำคัญของทีมเวิร์คแล้วเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือความสามารถของลูกทีมว่าลูกทีมแต่ละคนมีความสามารถแค่ไหนและเหมาะสมกับงานประเภทไหนบ้างการคัดเลือกให้ทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถที่เขามีจะทำให้เขาทำงานนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการเลือกคนที่เก่งมาทำงานที่เขาไม่ถนัดเพราะในทีมจะต้องมีหลายๆส่วนประกอบกันทั้งผู้นำ ผู้ตาม ผู้คิด และผู้ปฎิบัติ
การร่วมมือกันในสมาชิกภายในทีม
ลูกทีมต้องเข้าใจกระบวนการทำงานของทีมอย่างละเอียดลึกซึ้งเพื่อให้การทำงานนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดการทำงานเป็นทีมย่อมมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างแน่นอนแต่ลูกทีมต้องเข้าใจถึงหน้าที่ของตัวเองว่าต้องทำอะไรบ้างส่วนหัวหน้าทีมมีหน้าที่ดูปัญหาที่จะเกิดขึ้นและแก้ไขปัญหาอีกทั้งยังต้องช่วยเหลือลูกทีมในการตัดสินใจหาทางออกของปัญหาที่เหมาะสม
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ในปัจจุบันการแข่งขันมีมากมายถ้าเราไม่มีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆขึ้นมาเราก็ไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทอื่นได้อย่างแน่นอนดังนั้นเราต้องกระตุ้นให้ลูกทีมเห็นถึงความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์และผลประโยชน์ที่จะได้รับเช่นถ้าลูกทีมคนไหนมีความคิดสร้างสรรค์ที่น่าสนใจและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ก็จะได้รับรางวัลหรืออาจจะจัดกิจกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ให้กับลูกทีมขึ้นมาซึ่งมีส่วนสำคัญให้ลูกทีมเกิดไอเดียใหม่ๆในการทำงานมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลง
ในปัจจุบันยุดสมัยเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากเราไม่สามารถอยู่กับทีมเดิมๆหรือหัวหน้าเดิมๆได้ตลอดเวลาเมื่อถึงเวลาที่เราต้องถูกโยกย้ายหรือมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้างานเราต้องพร้อมรับมือเสมอเพื่อให้ทำงานได้อย่างไม่มีปัญหาลูกทีมจึงต้องมีภูมิต้านต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ
ความพร้อม
ทีมที่จะมีความพร้อมคือทีมที่มีผู้นำหรือหัวหน้างานที่ดีมีเพื่อนร่วมทีมที่เข้าใจซึ่งกันและกันและยังสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งดังนั้นเมื่อลูกค้าถามคำถามมาลูกทีมทุกคนต้องสามารถตอบคำถามนั้นได้ทันทีและสามารถชี้แจ้งรายละเอียดให้ลูกค้าได้เข้าใจอย่างครบถ้วน
ให้กำลังใจในการทำงาน
ปัจจุบันคนทำงานมีความเครียดสะสมกันมากทำให้การทำงานนั้นทำได้ไม่เต็มที่และก่อให้เกิดปัญหาเมื่อต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นยิ่งเราสะสมความเครียดไว้มากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนเราแบกรับไม่ไหวทำให้ความเครียดกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้อีกต่อไปจริงๆแล้วถ้าเรามองสิ่งต่างๆรอบตัวเราให้ดีเราก็จะพบว่าความเครียดนั้นแก้ได้ไม่อยากเมื่อเราเกิดความเครียดทั้งจากการทำงานหรือเพื่อนร่วมงานเราก็ควรระบายให้กับคนที่เราไว้ใจฟังเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดสะสมนั้นเองเมื่อเราระบายเสร็จเราก็จะรู้ว่าความเครียดนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปความเครียดไม่สามารถทำร้ายเราได้อีกต่อไปเมื่อเรามีวิธีการจัดการกับความเครียดที่ถูกต้องดังนั้นก่อนที่เราจะแก้ปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้นเราต้องมาปรับตัวใหม่ให้เป็นคนมองโลกในแง่ดีมีทัศนคติที่ดียิ่งขึ้นเพื่อลดความเครียดลงซึ่งมีดังต่อไปนี้
1.อย่าบ่นว่าไม่ชอบงาน
ในเมื่อเราเลือกที่จะทำงานนี้แล้วเราก็ต้องทำงานนี้ต่อไปถ้าเราบ่นว่าไม่ชอบงานหรือเกลียดงานที่ทำอยู่จะยิ่งทำให้เราทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะเราคิดในแง่ร้ายตั้งแต่แรกซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีในการทำงานแม้ว่าเราจะไม่ได้ต้องการทำงานนั้นตั้งแต่แรกแต่เราก็ควรจะลองทำสิ่งแปลกๆใหม่ๆเพื่อให้เรามีประสบการณ์ในสิ่งที่เราไม่เคยทำซึ่งอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตในช่วงการเปลี่ยนงานใหม่ของเราก็ได้
2.ทำงานทุกงานอย่างเต็มที่
ไม่ว่างานอะไรที่เราได้รับมอบหมายเราก็ต้องทำมันอย่างเต็มที่ไม่ควรเลือกงานเด็ดขาดเพราะงานแต่ละงานจะเป็นตัวสอนให้เรารู้จักสิ่งใหม่ๆคนเรามักกลัวที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เพราะฉะนั้นจึงทำให้ไม่มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นดังนั้นเมื่อได้รับมอบหมายงานใหม่ๆที่ตัวเองไม่เคยทำก็ต้องตั้งใจศึกษางานเหล่านั้นบางครั้งงานเหล่านั้นอาจจะเป็นงานที่ถนัดมากกว่างานที่ทำอยู่ปัจจุบันก็ได้
3.เหนื่อยได้แต่ห้ามท้อ
การทำงานหลีกเลี่ยงความเหนื่อยไม่ได้อย่างแน่นอนแต่เมื่อเราเหนื่อยเราก็พักเพื่อให้เรากลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่ถ้าเราเหนื่อยแล้วเราไม่พักก็จะเกิดความท้อในการทำงานเกิดขึ้นเมื่อความท้อเกิดขึ้นก็จะส่งผลต่องานที่ทำอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ตัวว่าเหนื่อยก็ควรพักมากกว่าฟื้นทำโดยงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
4.ใครจะว่าอะไรถ้าเราไม่ได้เป็นแบบนั้นก็พอ
คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลกเราต้องเตรียมใจไว้เลยว่าเมื่อเราเข้าสู่โลกของการทำงานการนินทาต้องเกิดขึ้นเพราะเขาไม่รู้จักเราดีพอหรืออาจจะเป็นเพราะนิสัยของเขาแต่เมื่อเรารับรู้เข้าเราก็ไม่ควรตอบโต้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานซึ่งอาจจะส่งผลต่อหน้าที่การงานที่เราทำอยู่
5.ผิดพลาดกันได้
ความผิดพลาดเป้นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยเจอขึ้นอยู่กับว่าเราจะแก้ไขความผิดพลาดนั้นหรือปล่อยให้มันผ่านไปยิ่งเราเรียนรู้จากความผิดพลาดมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเพราะเราจะไม่ผิดพลาดอีกเลยเนื่องจากเรามีบทเรียนมาแล้วทำให้เราเก่งในการทำสิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น
อย่าคิดว่าการทำงานนั้นเราจะได้ดั่งที่หวังทุกอย่างเพราะเราเข้าไปเป็นลูกน้องเขาเราก็ต้องทำตามที่เขาสั่งทำตามวัฒนธรรมขององค์กรยิ่งถ้าเราปรับตัวได้ดีเท่าไหร่การทำงานและการอยู่ร่วมกันของเราก็จะดียิ่งขึ้นอีกด้วยช่วยให้ความเครียดในการทำงานไม่เกิดและงานที่ทำก็ทำอย่างสบายใจ
1.อย่าบ่นว่าไม่ชอบงาน
ในเมื่อเราเลือกที่จะทำงานนี้แล้วเราก็ต้องทำงานนี้ต่อไปถ้าเราบ่นว่าไม่ชอบงานหรือเกลียดงานที่ทำอยู่จะยิ่งทำให้เราทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะเราคิดในแง่ร้ายตั้งแต่แรกซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีในการทำงานแม้ว่าเราจะไม่ได้ต้องการทำงานนั้นตั้งแต่แรกแต่เราก็ควรจะลองทำสิ่งแปลกๆใหม่ๆเพื่อให้เรามีประสบการณ์ในสิ่งที่เราไม่เคยทำซึ่งอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตในช่วงการเปลี่ยนงานใหม่ของเราก็ได้
2.ทำงานทุกงานอย่างเต็มที่
ไม่ว่างานอะไรที่เราได้รับมอบหมายเราก็ต้องทำมันอย่างเต็มที่ไม่ควรเลือกงานเด็ดขาดเพราะงานแต่ละงานจะเป็นตัวสอนให้เรารู้จักสิ่งใหม่ๆคนเรามักกลัวที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เพราะฉะนั้นจึงทำให้ไม่มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นดังนั้นเมื่อได้รับมอบหมายงานใหม่ๆที่ตัวเองไม่เคยทำก็ต้องตั้งใจศึกษางานเหล่านั้นบางครั้งงานเหล่านั้นอาจจะเป็นงานที่ถนัดมากกว่างานที่ทำอยู่ปัจจุบันก็ได้
3.เหนื่อยได้แต่ห้ามท้อ
การทำงานหลีกเลี่ยงความเหนื่อยไม่ได้อย่างแน่นอนแต่เมื่อเราเหนื่อยเราก็พักเพื่อให้เรากลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่ถ้าเราเหนื่อยแล้วเราไม่พักก็จะเกิดความท้อในการทำงานเกิดขึ้นเมื่อความท้อเกิดขึ้นก็จะส่งผลต่องานที่ทำอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ตัวว่าเหนื่อยก็ควรพักมากกว่าฟื้นทำโดยงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
4.ใครจะว่าอะไรถ้าเราไม่ได้เป็นแบบนั้นก็พอ
คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลกเราต้องเตรียมใจไว้เลยว่าเมื่อเราเข้าสู่โลกของการทำงานการนินทาต้องเกิดขึ้นเพราะเขาไม่รู้จักเราดีพอหรืออาจจะเป็นเพราะนิสัยของเขาแต่เมื่อเรารับรู้เข้าเราก็ไม่ควรตอบโต้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานซึ่งอาจจะส่งผลต่อหน้าที่การงานที่เราทำอยู่
5.ผิดพลาดกันได้
ความผิดพลาดเป้นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยเจอขึ้นอยู่กับว่าเราจะแก้ไขความผิดพลาดนั้นหรือปล่อยให้มันผ่านไปยิ่งเราเรียนรู้จากความผิดพลาดมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเพราะเราจะไม่ผิดพลาดอีกเลยเนื่องจากเรามีบทเรียนมาแล้วทำให้เราเก่งในการทำสิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น
อย่าคิดว่าการทำงานนั้นเราจะได้ดั่งที่หวังทุกอย่างเพราะเราเข้าไปเป็นลูกน้องเขาเราก็ต้องทำตามที่เขาสั่งทำตามวัฒนธรรมขององค์กรยิ่งถ้าเราปรับตัวได้ดีเท่าไหร่การทำงานและการอยู่ร่วมกันของเราก็จะดียิ่งขึ้นอีกด้วยช่วยให้ความเครียดในการทำงานไม่เกิดและงานที่ทำก็ทำอย่างสบายใจ
รับมือการเมืองในที่ทำงานอย่างไรดี
ปัจจุบันการเมืองได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้นถ้าเราไม่เห็นด้วยกับความคิดของคนทำงานในที่ทำงานส่วนใหญ่อาจจะทำให้เราทำงานต่อไปไม่ได้เพราะจะถูกกดดันจกาเพื่อนร่วมงานแล้วเราจะรับมือหรือวางตัวอย่างไรจึงทำให้เราสามารถทำงานต่อไปได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน
เทคนิคการรับมือการเมืองในที่ทำงาน
ปัจจุบันการเมืองได้เข้ามามีส่วนอย่างมากกับการทำงานถ้าเราเห็นด้วยกับคนส่วนใหญ่ในที่ทำงานก็แล้วไปแต่ถ้าเกิดเราเห็นต่างขึ้นมาก็จะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานร่วมกันอย่างแน่นอนและเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นที่เห็นต่างทางการเมืองกับเราได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งกันเพราะการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของคนอื่นได้อย่างแน่นอนเราจึงต้องพยายามหลีกเลี้ยงที่จะพูดคุยเรื่องการเมือง
วันนี้เราจะมานำเสนอเทคนิคในการรับมือการเมืองในที่ทำงานซึ่งมี 5 วิธีดังต่อไปนี้
1.ปรับตัว
ถ้าเราอยากทำงานอย่างมีความสุขและไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนส่วนใหญ่แม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นด้วยเราก็ต้องเห็นด้วยแต่ต้องอยู่บนความถูกต้องและไม่ผิดกฎหมายด้วย
เพื่อให้การทำงานของเราไม่มีปัญหาและทำงานได้อย่างสบายใจเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น
2.วางตัวให้เป็นกลาง
เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้งคำถามที่เกิดขึ้นมาในที่ทำงานคือเราอยู่ฝ่ายไหนเราเลือกอีกฝ่ายหนึ่งเราก็จะเกิดปัญหากับเพื่อนที่ทำงานที่ยู่อีกฝ่ายหนึ่งเพราะฉะนั้นกลางวางตัวเป็นกลางเป็นเรื่องที่สมควรทำที่สุดเพื่อให้เราไม่มีปัญหากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและเมื่อเกิดปัญหาเราจะได้เป็นคนกลางในช่วยแก้ไขปัญหาระหว่างสองฝ่ายอีกด้วยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
3.ใช้เหตุผล
การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลในการคุยกันถ้าต่างฝ่ายต่างใช้อารมณ์ก็จะมีแต่เสียกับเสียไม่มีอะไรดีขึ้นมาการเมืองในที่ทำงานเราสามารถให้สองฝ่ายที่เห็นต่างมานั่งคุยกันได้ด้วยเหตุผลเพื่อจะได้เข้าใจปัญหาที่แท้จริงที่เห็นต่างอาจจะกลายเป็นเห็นด้วยและยังช่วยให้ลดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงอีกด้วยเป็นทางออกที่ดีที่สุดเมื่อเกิดปัญหาการเมืองในที่ทำงาน
4.ลดความขัดแย้ง
บางครั้งการเมืองก็มาถึงจุดแตกหักต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูกทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานการลดความขัดแย้งจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดด้วยวิธีการใช้เหตุผลหรือให้คนที่เห็นต่างแยกออกจากกันเพื่อลดปัญหาเพราะคนที่มีปัญหาส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในที่ทำงานจึงทำให้สามารถจัดการปัญหาได้ง่ายๆ
5.ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่
สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับว่าความคิดของคนนั้นเปลี่ยนยากเราก็ต้องทำใจและปรับตัวอยู่กับมันให้ได้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการทำงานเพราะเรามาทำงานไม่ใช่มาสร้างปัญหาเพื่อให้กับตัวไม่ว่าเขาจะมีปัญหาการเมืองอะไรก็ตามเราก็แค่พยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างเท่านั้นเอง
สุดท้ายนี้เราไม่ควรเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำงานเด็ดขาดเพราะการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนกับเรื่องของศาสนาถ้าเรานำเข้ามาแล้วละก็ปัญหาก็จะเกิดเพราะความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกันอาจจะทำให้การทำงานนั้นเกิดปัญหาได้ทางที่ดีที่สุดคือพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องเหล่านี้
เทคนิคการรับมือการเมืองในที่ทำงาน
ปัจจุบันการเมืองได้เข้ามามีส่วนอย่างมากกับการทำงานถ้าเราเห็นด้วยกับคนส่วนใหญ่ในที่ทำงานก็แล้วไปแต่ถ้าเกิดเราเห็นต่างขึ้นมาก็จะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานร่วมกันอย่างแน่นอนและเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นที่เห็นต่างทางการเมืองกับเราได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งกันเพราะการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของคนอื่นได้อย่างแน่นอนเราจึงต้องพยายามหลีกเลี้ยงที่จะพูดคุยเรื่องการเมือง
วันนี้เราจะมานำเสนอเทคนิคในการรับมือการเมืองในที่ทำงานซึ่งมี 5 วิธีดังต่อไปนี้
1.ปรับตัว
ถ้าเราอยากทำงานอย่างมีความสุขและไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนส่วนใหญ่แม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นด้วยเราก็ต้องเห็นด้วยแต่ต้องอยู่บนความถูกต้องและไม่ผิดกฎหมายด้วย
เพื่อให้การทำงานของเราไม่มีปัญหาและทำงานได้อย่างสบายใจเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น
2.วางตัวให้เป็นกลาง
เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้งคำถามที่เกิดขึ้นมาในที่ทำงานคือเราอยู่ฝ่ายไหนเราเลือกอีกฝ่ายหนึ่งเราก็จะเกิดปัญหากับเพื่อนที่ทำงานที่ยู่อีกฝ่ายหนึ่งเพราะฉะนั้นกลางวางตัวเป็นกลางเป็นเรื่องที่สมควรทำที่สุดเพื่อให้เราไม่มีปัญหากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและเมื่อเกิดปัญหาเราจะได้เป็นคนกลางในช่วยแก้ไขปัญหาระหว่างสองฝ่ายอีกด้วยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
3.ใช้เหตุผล
การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลในการคุยกันถ้าต่างฝ่ายต่างใช้อารมณ์ก็จะมีแต่เสียกับเสียไม่มีอะไรดีขึ้นมาการเมืองในที่ทำงานเราสามารถให้สองฝ่ายที่เห็นต่างมานั่งคุยกันได้ด้วยเหตุผลเพื่อจะได้เข้าใจปัญหาที่แท้จริงที่เห็นต่างอาจจะกลายเป็นเห็นด้วยและยังช่วยให้ลดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงอีกด้วยเป็นทางออกที่ดีที่สุดเมื่อเกิดปัญหาการเมืองในที่ทำงาน
4.ลดความขัดแย้ง
บางครั้งการเมืองก็มาถึงจุดแตกหักต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูกทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานการลดความขัดแย้งจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดด้วยวิธีการใช้เหตุผลหรือให้คนที่เห็นต่างแยกออกจากกันเพื่อลดปัญหาเพราะคนที่มีปัญหาส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในที่ทำงานจึงทำให้สามารถจัดการปัญหาได้ง่ายๆ
5.ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่
สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับว่าความคิดของคนนั้นเปลี่ยนยากเราก็ต้องทำใจและปรับตัวอยู่กับมันให้ได้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการทำงานเพราะเรามาทำงานไม่ใช่มาสร้างปัญหาเพื่อให้กับตัวไม่ว่าเขาจะมีปัญหาการเมืองอะไรก็ตามเราก็แค่พยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างเท่านั้นเอง
สุดท้ายนี้เราไม่ควรเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำงานเด็ดขาดเพราะการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนกับเรื่องของศาสนาถ้าเรานำเข้ามาแล้วละก็ปัญหาก็จะเกิดเพราะความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกันอาจจะทำให้การทำงานนั้นเกิดปัญหาได้ทางที่ดีที่สุดคือพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องเหล่านี้
5 เหตุผลที่ทำให้คนอยากลาออกหรือเปลี่ยนงาน
เพราะอะไรคนถึงอยากออกจากงานหรือเปลี่ยนงาน
5 เหตุผลที่ทำให้คนอยากออกจากงานหรือเปลี่ยนงาน
1.หัวหน้า
2.เพื่อนร่วมงาน
3.ลักษณะการทำงาน
4.รายได้ที่ได้รับ
5.ความมั่นคงของบริษัท
1.หัวหน้า
การทำงานร่วมกับหัวหน้าที่เอาดีเข้าตัวเองและเข้าไม่ดีให้ลูกน้องเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนอยากเปลี่ยนงานเพราะทนกับแรงกดดันไม่ไหวทั้งๆที่ทำงานเต็มที่ก็ไม่เคยได้รับการชื่นชมจากหัวหน้าหรือได้รับรางวัลอะไรเลยแถมเมื่อทำงานผิดพลาดความผิดทั้งหมดก็ยังมาตกอยู่ที่ตัวเราคนเดียวซึ่งบางครั้งไม่ใช่ความผิดของเราเลยด้วยซ้ำไป
2.เพื่อนร่วมงาน
การทำงานต้องทำเป็นทีมแต่เมื่อเราทำงานร่วมกับคนอื่นบางครั้งก็เจอคนประเภทที่เอาดีเข้าตัวเองแต่งานไม่ทำหรือพวกประเภททำงานเอาหน้าซึ่งทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้เพราะทำงานไปก็ถูกแย่งความดีความชอบไป
3.ลักษณะการทำงาน
ก่อนจะเริ่มงานเราก็รู้คร่าวๆแล้วว่าต้องทำงานอย่างไรบ้างแต่พอทำงานจริงๆกลับถูกใช้ให้ทำงานมากกว่าที่ควรได้รับแถมยังได้รายได้เท่าเดิมทำให้พนักงานบางคนถึงกับลาออกเพราะทนสภาพการทำงานที่หนักเกินไปไม่ไหวและยังไม่ได้ค่าตอบแทนอีก
4.รายได้ที่ได้รับ
จริงอยู่ที่บริษัทเป็นคนกำหนดรายได้ที่ได้รับของพนักงานซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสามารถด้วยแต่บางบริษัทมีการจ่ายเงินเดือนล่าช้าหรือไม่มีโบนัสปลายปีซึ่งทำให้พนักงานไม่พอใจเพราะส่วนใหญ่แล้วการจ่ายเงินต้องตรงเวลาและควรมีค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานบ้าง
5.ความมั่นคงของบริษัท
เริ่มแรกบริษัทอาจจะดำเนินธุรกิจไปได้สวยแต่ต่อมาเกิดประสบปัญหาด้านการเงินจึงเป็นสาเหตุให้พนักงานไม่มั่นใจในตัวบริษัทจึงเป็นเหตุให้ต้องลาออก
5 เหตุผลที่ทำให้คนอยากออกจากงานหรือเปลี่ยนงาน
1.หัวหน้า
2.เพื่อนร่วมงาน
3.ลักษณะการทำงาน
4.รายได้ที่ได้รับ
5.ความมั่นคงของบริษัท
1.หัวหน้า
การทำงานร่วมกับหัวหน้าที่เอาดีเข้าตัวเองและเข้าไม่ดีให้ลูกน้องเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนอยากเปลี่ยนงานเพราะทนกับแรงกดดันไม่ไหวทั้งๆที่ทำงานเต็มที่ก็ไม่เคยได้รับการชื่นชมจากหัวหน้าหรือได้รับรางวัลอะไรเลยแถมเมื่อทำงานผิดพลาดความผิดทั้งหมดก็ยังมาตกอยู่ที่ตัวเราคนเดียวซึ่งบางครั้งไม่ใช่ความผิดของเราเลยด้วยซ้ำไป
2.เพื่อนร่วมงาน
การทำงานต้องทำเป็นทีมแต่เมื่อเราทำงานร่วมกับคนอื่นบางครั้งก็เจอคนประเภทที่เอาดีเข้าตัวเองแต่งานไม่ทำหรือพวกประเภททำงานเอาหน้าซึ่งทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้เพราะทำงานไปก็ถูกแย่งความดีความชอบไป
3.ลักษณะการทำงาน
ก่อนจะเริ่มงานเราก็รู้คร่าวๆแล้วว่าต้องทำงานอย่างไรบ้างแต่พอทำงานจริงๆกลับถูกใช้ให้ทำงานมากกว่าที่ควรได้รับแถมยังได้รายได้เท่าเดิมทำให้พนักงานบางคนถึงกับลาออกเพราะทนสภาพการทำงานที่หนักเกินไปไม่ไหวและยังไม่ได้ค่าตอบแทนอีก
4.รายได้ที่ได้รับ
จริงอยู่ที่บริษัทเป็นคนกำหนดรายได้ที่ได้รับของพนักงานซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสามารถด้วยแต่บางบริษัทมีการจ่ายเงินเดือนล่าช้าหรือไม่มีโบนัสปลายปีซึ่งทำให้พนักงานไม่พอใจเพราะส่วนใหญ่แล้วการจ่ายเงินต้องตรงเวลาและควรมีค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานบ้าง
5.ความมั่นคงของบริษัท
เริ่มแรกบริษัทอาจจะดำเนินธุรกิจไปได้สวยแต่ต่อมาเกิดประสบปัญหาด้านการเงินจึงเป็นสาเหตุให้พนักงานไม่มั่นใจในตัวบริษัทจึงเป็นเหตุให้ต้องลาออก
แนะนำอาชีพที่เกี่ยวกับ IT
ปัจจุบันตลาดงานของไอทีมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างมากแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสายงานไอทีไหนที่ตลาดต้องการในปัจจุบัน
อาชีพที่เกี่ยวกับ IT
ในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างมากทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้วไม่ว่าจะด้านการดำรงชีวิตหรือด้านอาชีพการงานก็ตามปัจจุบันถูกเรียกว่าเป็นยุคของไอทีทุกคนในสังคมจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอทั้งการใช้อินเทอร์เน็ตคอมพิวเตอร์และมือถือ
จากการสำรวจตลาดงานไอทีในปัจจุบันมีความต้องบุคคลที่มีความรู้ความสามารถดังต่อไปนี้
1.ERP (Enterpise Resources Planning)
2.SAP (Software Application Products)
3.นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
4.วิศวกรเครือข่าย(Network Engineering)
บุคคลที่มีความสามารถข้างต้นจะสามารถหางานได้งานได้ง่ายขึ้นเพราะตลาดงานต้องการมากแต่ต้องไม่ลืมว่าตลาดงานไอทีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเราจำเป็นต้องติดต่อสถานการณ์อยู่เสมอเพื่อเื่อความรู้ความสามารถที่ทำให้เราหางานได้งานยิ่งขึ้นทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจสังคมและการเมืองอีก
ความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่สายงานไอทีต้องมีคือความสามารถด้านภาษาอังกฤษทั้งการฟังพูดอ่านเขียนเพราะในอีกไม่นานเราก็จะเข้าสู่ AEC ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านเรานั้นสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เก่งถ้าเราไม่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษไปสู่กับเขาเราก็จะถูกแย่งงานอย่างแน่นอนในทางกลับกันถ้าเรามีความสามารถด้านไอทีและมีความรู้ภาษาอังกฤษโอกาสในการหางานของเราก็จะมีมากขึ้นเพราะบริษัทที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศของเราต้องการคนที่สามารถสื่อสารภาษากลางหรือภาษาอังกฤษได้ไม่ต้องมานั่งฝึกอบรมทำให้เสียงบประมาณเพิ่มเติมอีกซึ่งช่วยให้บริษัทไม่จำเป็นต้องสูญเสียเงินในสิ่งที่ไม่จำเป็นสู้เอาคนที่มีความรู้ความสามารถในสิ่งที่ต้องการมาเลยจะดีกว่า
เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมากขึ้นจะเห็นได้ว่ามีการทำธุรกิจในด้านที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน 2 - 3ปีที่ผ่านมากเป็นเหตุให้งานในด้านเทคโนโลยีเป็นงานที่หาได้ง่ายมากยิ่งขึ้นยิ่งถ้าเรามีความรู้ความสามารถมากโอกาสที่จะได้เงินเดือนเริ่มต้นสูงก็มีอยู่สูงทีเดียวโดยไม่จำเป็นต้องทำให้งานนานๆเพื่อการขึ้นเงินเดือนเพียงแต่เรามีความสามารถที่บริษัทต้องการก็พอสุดท้ายนี้เราต้องไม่ลืมว่าเทคโนโลยีเป็นดาบสองคมเราต้องเลือกใช้มันให้ถูกกฎหมายและถูกศีลธรรม
เกรดเฉลี่ยและกิจกรรมระหว่างการเรียนมีผลต่อการสมัครงานหรือไม่
ทำไมเกรดเฉลี่ยและกิจกรรมระหว่างเรียนจึงสำคัญต่อการสมัครงาน
หลายคนคิดตั้งคำถามว่าเกรดเฉลี่ยและกิจกรรมระหว่างเรียนนั้นสำคัญมากแค่ไหนกันแน่ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยหลายคนคงตั้งงคำถามนี้ขึ้นมาในใจแต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนหรือได้คำตอบที่ไม่ถูกต้องมาหลายคนอาจจะคิดว่าเรียนให้จบก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องได้เกรดดีๆกิจกรรมก็ไม่จำเป็นหลายคนคิดแบบนี้หลายคนอาจจะไม่เข้าใจและไม่สามารถถามใครได้อีกด้วยจึงทำให้คำถามนั้นค้างมาตลอด
หลายคนเห็นรุ่นพี่ได้เกรดไม่ดีแต่ได้งานดีๆส่วนรุ่นพี่ที่ได้เกรดดีๆกลับยังไม่มีงานทำยิ่งกิจกรรมไม่ต้องพูดถึงแค่เรียนก็ไม่มีเวลาแล้วยิ่งเป็นนักกิจกรรมแล้วยิ่งทำให้จบช้าเข้าไปอีกอย่างนี้ใครจะเรียนให้จบเกรดสวยๆและเป็นนักกิจกรรมได้อีกด้วยหลายคนจะพบเจอกับสิ่งเหล่านี้มาตลอดในการเรียนมหาลัย
สำหรับคนที่คิดแบบข้อความข้างต้นวันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้วว่าแบบไหนถึงจะถูกต้องและดีที่สุดที่หลายคนถามว่าเกรดเฉลี่ยและกิจกรรมจำเป็นมากแค่ไหนต้องขอบอกว่าสำคัญมากแต่ไม่ใช่ว่าจะสำคัญทั้งหมดยังมีอีกหลายๆอย่างที่ทำให้เราได้งานหรือไม่ได้งานเราอย่ามองข้ามสิ่งเล็กน้อยๆซึ่งนำสู่ความหายนะเราต้องใส่ใจมันให้มากๆแม้ว่ามันจะเล็กแค่ไหนก็ตามเช่นเรื่องการแต่งตัวหรือมรรยาทเรื่องต่างๆ
เกรดเฉลี่ยหรือGPAสำหรับคนที่ต้องการหางานง่ายๆอย่างน้อยต้องมีเกรดเฉลี่ย3.00ขึ้นไปเพราะเมื่อเกรดเราอยู่ในช่วงนี้จะทำให้เราหางานได้งานกว่าแต่ใช่ว่าเกรดเราน้อยกว่านี้จะไม่มีโอกาสได้งานขึ้นอยู่กับความสามารถของเราด้วยถ้าเราเกรดเฉลี่ยสูงแต่เราทำอะไรไม่เป็นเลยไม่นานบริษัทก็ต้องไล่เราออกแต่ถ้าเราเกรดเฉลี่ยไม่สูงมากแต่เราสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่างเราจะมีความมั่นคงในการทำงานมากกว่าเห็นได้ว่าเกรดเฉลี่ยเป็นแค่ใบเบิกทางเข้าไปทำงานได้ง่ายแต่ไม่ได้เป็นตัวบอกว่าเราจะทำงานได้ดีตัวที่จะบอกว่าเราทำงานได้ดีคือความขยันและกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลามีความตรงเวลาเสมอเพราะฉะนั้นเกรดเฉลี่ยจึงมีความสำคัญแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นอีกส่วนคือความตั้งใจในการทำงานนั้นเอง
ทำไมจึงใช้เกรดเฉลี่ยในการสมัครงานเพราะว่าเกรดเฉลี่ยนที่อยู่ในระดับต่างๆเป็นตัวบอกว่าเรามีความรับผิดชอบในการเรียนมากแค่ไหนซึ่งเป็นตัวบอกว่าเรามีความรับผิดชอบมากแค่ไหนนายจ้างต้องการคนที่เก่งๆมาทำงานแน่นอนเขาจะดูเกรดเฉลี่ยเป็นอันดับแรกเพราะว่าคงไม่มีใครอยากได้คนไม่เก่งมาทำงานเพราะฉะนั้นเราต้องรักษาเกรดเฉลี่ยของเราให้อยู่ในระดับมาตรฐาน2.50-3.00ก็เป็นอันโอเคถ้ามากกว่านั้นแสดงว่าเก่งมากๆอาจจะไปหางานในบริษัทใหญ่ๆหรือบริษัทต่างชาติดูเพราะบริษัทเหล่านี้จะมีมาตรฐานเกรดเฉลี่ยที่รับอยู่แต่อย่าลืมว่าเราต้องทำงานเป็นด้วยถ้าเราทำงานไปเรื่อยๆอาจจะถูกไล่ออก
กิจกรรมระหว่างเรียนก็เป็นสิ่งที่สำคัญแต่ไม่ใช่ทั้งหมดเหมือนกับเกรดเฉลี่ยกิจกรรมเป้นตัวบอกว่าเราสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้หรือไม่มีการเรียนรู้การทำงานเป็นระบบหรือเปล่าการทำงานเป็นทีมซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานในบริษัททั่วไปเพราะต้องมีการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างแน่นอนถ้าเราผ่านกิจกรรมเหล่านี้มาแสดงว่าเรามีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นจึงเป็นสิ่งช่วยให้บริษัทพิจารณาให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นเพราะไม่จำเป็นต้องให้เรามาปรับตัวอีกเพราะเราเคยผ่านมาก่อนแล้ว
หลายคนคิดตั้งคำถามว่าเกรดเฉลี่ยและกิจกรรมระหว่างเรียนนั้นสำคัญมากแค่ไหนกันแน่ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยหลายคนคงตั้งงคำถามนี้ขึ้นมาในใจแต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนหรือได้คำตอบที่ไม่ถูกต้องมาหลายคนอาจจะคิดว่าเรียนให้จบก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องได้เกรดดีๆกิจกรรมก็ไม่จำเป็นหลายคนคิดแบบนี้หลายคนอาจจะไม่เข้าใจและไม่สามารถถามใครได้อีกด้วยจึงทำให้คำถามนั้นค้างมาตลอด
หลายคนเห็นรุ่นพี่ได้เกรดไม่ดีแต่ได้งานดีๆส่วนรุ่นพี่ที่ได้เกรดดีๆกลับยังไม่มีงานทำยิ่งกิจกรรมไม่ต้องพูดถึงแค่เรียนก็ไม่มีเวลาแล้วยิ่งเป็นนักกิจกรรมแล้วยิ่งทำให้จบช้าเข้าไปอีกอย่างนี้ใครจะเรียนให้จบเกรดสวยๆและเป็นนักกิจกรรมได้อีกด้วยหลายคนจะพบเจอกับสิ่งเหล่านี้มาตลอดในการเรียนมหาลัย
สำหรับคนที่คิดแบบข้อความข้างต้นวันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้วว่าแบบไหนถึงจะถูกต้องและดีที่สุดที่หลายคนถามว่าเกรดเฉลี่ยและกิจกรรมจำเป็นมากแค่ไหนต้องขอบอกว่าสำคัญมากแต่ไม่ใช่ว่าจะสำคัญทั้งหมดยังมีอีกหลายๆอย่างที่ทำให้เราได้งานหรือไม่ได้งานเราอย่ามองข้ามสิ่งเล็กน้อยๆซึ่งนำสู่ความหายนะเราต้องใส่ใจมันให้มากๆแม้ว่ามันจะเล็กแค่ไหนก็ตามเช่นเรื่องการแต่งตัวหรือมรรยาทเรื่องต่างๆ
เกรดเฉลี่ยหรือGPAสำหรับคนที่ต้องการหางานง่ายๆอย่างน้อยต้องมีเกรดเฉลี่ย3.00ขึ้นไปเพราะเมื่อเกรดเราอยู่ในช่วงนี้จะทำให้เราหางานได้งานกว่าแต่ใช่ว่าเกรดเราน้อยกว่านี้จะไม่มีโอกาสได้งานขึ้นอยู่กับความสามารถของเราด้วยถ้าเราเกรดเฉลี่ยสูงแต่เราทำอะไรไม่เป็นเลยไม่นานบริษัทก็ต้องไล่เราออกแต่ถ้าเราเกรดเฉลี่ยไม่สูงมากแต่เราสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่างเราจะมีความมั่นคงในการทำงานมากกว่าเห็นได้ว่าเกรดเฉลี่ยเป็นแค่ใบเบิกทางเข้าไปทำงานได้ง่ายแต่ไม่ได้เป็นตัวบอกว่าเราจะทำงานได้ดีตัวที่จะบอกว่าเราทำงานได้ดีคือความขยันและกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลามีความตรงเวลาเสมอเพราะฉะนั้นเกรดเฉลี่ยจึงมีความสำคัญแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นอีกส่วนคือความตั้งใจในการทำงานนั้นเอง
ทำไมจึงใช้เกรดเฉลี่ยในการสมัครงานเพราะว่าเกรดเฉลี่ยนที่อยู่ในระดับต่างๆเป็นตัวบอกว่าเรามีความรับผิดชอบในการเรียนมากแค่ไหนซึ่งเป็นตัวบอกว่าเรามีความรับผิดชอบมากแค่ไหนนายจ้างต้องการคนที่เก่งๆมาทำงานแน่นอนเขาจะดูเกรดเฉลี่ยเป็นอันดับแรกเพราะว่าคงไม่มีใครอยากได้คนไม่เก่งมาทำงานเพราะฉะนั้นเราต้องรักษาเกรดเฉลี่ยของเราให้อยู่ในระดับมาตรฐาน2.50-3.00ก็เป็นอันโอเคถ้ามากกว่านั้นแสดงว่าเก่งมากๆอาจจะไปหางานในบริษัทใหญ่ๆหรือบริษัทต่างชาติดูเพราะบริษัทเหล่านี้จะมีมาตรฐานเกรดเฉลี่ยที่รับอยู่แต่อย่าลืมว่าเราต้องทำงานเป็นด้วยถ้าเราทำงานไปเรื่อยๆอาจจะถูกไล่ออก
กิจกรรมระหว่างเรียนก็เป็นสิ่งที่สำคัญแต่ไม่ใช่ทั้งหมดเหมือนกับเกรดเฉลี่ยกิจกรรมเป้นตัวบอกว่าเราสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้หรือไม่มีการเรียนรู้การทำงานเป็นระบบหรือเปล่าการทำงานเป็นทีมซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานในบริษัททั่วไปเพราะต้องมีการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างแน่นอนถ้าเราผ่านกิจกรรมเหล่านี้มาแสดงว่าเรามีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นจึงเป็นสิ่งช่วยให้บริษัทพิจารณาให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นเพราะไม่จำเป็นต้องให้เรามาปรับตัวอีกเพราะเราเคยผ่านมาก่อนแล้ว
เราเลือกงานไม่ใช่งานเลือกเรา
อย่าไปยึดกับคำว่างานเลือกเราไม่ใช่เราเลือกงานเราเองก็มีสิทธิที่จะเลือกงานได้เหมือนกันการสัมภาษณ์งานเป็นช่วงเวลาที่น้ายจ้างและอนาคตลูกจ้างจะได้มาพบปะกันแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต่างฝ่ายต่างอยากรู้จากอีกฝ่ายด้วยกันซึ่งจะเป็นตัวช่วยตัดสินว่าทั้งสองฝ่ายจะยอมทำงานร่วมกันหรือไม่เหมือนกับการค้าขายผู้ซื้อต้องเต็มใจซื้อและผู้ขายต้องเต็มใจขายจึงจะทำให้เกิดการค้าขายขึ้นมาได้ไม่มีใครสามารถบังคับใครได้การจ้างงานก็คล้ายๆกันต้องเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่ายถ้านายจ้างสนใจจ้างเราแต่เราไม่อยากทำงานร่วมด้วยการจ้างงานก็จะไม่เกิดขึ้นกลับกันถ้าเราสนใจทำงานแต่นายจ้างไม่ยินดีรับเราการจ้างงานก็ไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันดังนั้นการสัมภาษณ์งานจึงเป็นโอกาสที่ให้ทั้งสองฝ่ายมาพบปะกันทำความรู้จักซึ่งกันและกันเบื้องต้นเราจะได้รู้ว่างานที่ต้องทำเป็นอย่างและบรรยากาศของบริษัทเป็นอย่างไรฝ่ายนายจ้างก็จะได้รู้นิสัยและลักษณะการทำงานของเราซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์
ฝ่ายลูกจ้างไม่ควรคิดว่าตัวเองเป็นแค่ตัวเลือหนึ่งของงานแต่ต้องคิดว่าเราสามารถเลือกทำงานอะไรก็ได้ที่ความสามารถเรานั้นเหมาะสมเราสามารถปฏิเสธนายจ้างได้ถ้าเราเกิดไม่พอใจในข้อเสนอหรือข้อเสนอนั้นไม่ยุติธรรมไม่เหมาะสมกับความสามารถที่เรามีการสัมภาษณ์งานจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่เราจะสอบถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตัวเราให้เราถามสิ่งต่างๆให้ละเอียดให้หายสงสัยในเรื่องต่างๆเพื่อเป็นตัวช่วยในการประกอบการตัดสินใจเข้าทำงาน
โดยปกติแล้วการสัมภาษณ์งานทางบริษัทจะบอกขอบเขตงานที่เราต้องทำให้คุณเข้าใจถึงการทำงานว่าทำอะไรบ้างแล้วก็จะมีช่วงให้คุณถามคำถามในเวลาช่วงนั้นถ้าเรามีข้อสงสัยใดๆก็ตามให้เราถามให้หมดให้ละเอียดในสิ่งที่เราสงสัยหรือต้องการรู้เพราะจะมีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้นอาจจะถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่บริษัทบอกเรามาถือถามเกี่ยวกับบรรยากาศการทำงานเวลาเลิกงานหรือเวลาเริ่มทำงานวัฒนธรรมขององค์กรสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากภายนอกต้องเป็นคนภายในเท่านั้นถึงรู้เป็นต้นแต่ไม่ควรถามจนเกินพอดีเพราะจะกลายเป็นว่าเราเป็นคนสัมภาษณ์งานมากกว่าถูกสัมภาษณ์ถ้าเกิดเรารู้ข้อมูลต่างๆแล้วเราไม่ค่อยชอบหรือไม่ถูกชะตาเราก็สามารถปฏิเสธได้เพียงเลือกใช้คำที่เหมาะสมเช่นขอนำข้อเสนอไปพิจารณาก่อนค่อยมาให้คำตอบเป็นต้นให้บอกเหตุผลเป็นไปตามความเป็นจริงการปฏิเสธไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเกิดเราบอกเหตุผลที่ไม่เป็นความจริงแล้วบริษัทแก้ไขปัญหาให้เพราะเขาอยากได้เรามาทำงานจริงๆจะกลายเป็นว่าบริษัทแก้ไขปัญหาให้เราผิดจุดซึ่งส่งผลเสียต่อเราเอง
ความจริงเป็นสิ่งที่เราสมควรพูดมากกว่าการโกหกหากมีข้อสงสัยหรือข้อเสนอแนะอะไรให้พูดไปเลยไม่ต้องกลัวเพราะเรามีสิทธิที่จะถามดีกว่าปล่อยให้เราเข้าไปทำงานแล้วยังสงสัยคาใจแต่ไม่โอกาสได้ถามการพูดความจริงทำให้แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดทำให้สามารถปิดประเด็นได้ไม่เกิดความระแวงหรือสงสัยในอีกฝ่ายเหมือนการซื้อขายถ้าอีกฝ่ายมีข้อสงสัยแต่ไม่ยอมพูดก็จะทำให้การขายล่าช้าจนกระทั่งทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังเมื่อเราฟังรายละเอียดต่างๆแล้วเราเกิดชอบขึ้นมาแต่เราไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าชอบงานนี้อยากทำเลือกเราเถอะเราอาจจะใช้การแสดงความสนใจในสิ่งที่เขาพูดเพื่อให้เขารู้ว่าเราสนใจในงานที่เขาพูดมาจะทำให้ผู้สัมภาษณ์ประทับใจว่าเราสนใจในสิ่งที่เขาพูดเมื่อบริษัทถามข้อมูลเราที่เขาอยากรู้เราก็มีสิทธิถามข้อมูลที่เราอยากเหมือนกันและเมื่องานมีสิทธิเลือกเราเราก็มีสิทธิเลือกงานเหมือนกัน
ฝ่ายลูกจ้างไม่ควรคิดว่าตัวเองเป็นแค่ตัวเลือหนึ่งของงานแต่ต้องคิดว่าเราสามารถเลือกทำงานอะไรก็ได้ที่ความสามารถเรานั้นเหมาะสมเราสามารถปฏิเสธนายจ้างได้ถ้าเราเกิดไม่พอใจในข้อเสนอหรือข้อเสนอนั้นไม่ยุติธรรมไม่เหมาะสมกับความสามารถที่เรามีการสัมภาษณ์งานจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่เราจะสอบถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตัวเราให้เราถามสิ่งต่างๆให้ละเอียดให้หายสงสัยในเรื่องต่างๆเพื่อเป็นตัวช่วยในการประกอบการตัดสินใจเข้าทำงาน
โดยปกติแล้วการสัมภาษณ์งานทางบริษัทจะบอกขอบเขตงานที่เราต้องทำให้คุณเข้าใจถึงการทำงานว่าทำอะไรบ้างแล้วก็จะมีช่วงให้คุณถามคำถามในเวลาช่วงนั้นถ้าเรามีข้อสงสัยใดๆก็ตามให้เราถามให้หมดให้ละเอียดในสิ่งที่เราสงสัยหรือต้องการรู้เพราะจะมีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้นอาจจะถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่บริษัทบอกเรามาถือถามเกี่ยวกับบรรยากาศการทำงานเวลาเลิกงานหรือเวลาเริ่มทำงานวัฒนธรรมขององค์กรสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากภายนอกต้องเป็นคนภายในเท่านั้นถึงรู้เป็นต้นแต่ไม่ควรถามจนเกินพอดีเพราะจะกลายเป็นว่าเราเป็นคนสัมภาษณ์งานมากกว่าถูกสัมภาษณ์ถ้าเกิดเรารู้ข้อมูลต่างๆแล้วเราไม่ค่อยชอบหรือไม่ถูกชะตาเราก็สามารถปฏิเสธได้เพียงเลือกใช้คำที่เหมาะสมเช่นขอนำข้อเสนอไปพิจารณาก่อนค่อยมาให้คำตอบเป็นต้นให้บอกเหตุผลเป็นไปตามความเป็นจริงการปฏิเสธไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเกิดเราบอกเหตุผลที่ไม่เป็นความจริงแล้วบริษัทแก้ไขปัญหาให้เพราะเขาอยากได้เรามาทำงานจริงๆจะกลายเป็นว่าบริษัทแก้ไขปัญหาให้เราผิดจุดซึ่งส่งผลเสียต่อเราเอง
ความจริงเป็นสิ่งที่เราสมควรพูดมากกว่าการโกหกหากมีข้อสงสัยหรือข้อเสนอแนะอะไรให้พูดไปเลยไม่ต้องกลัวเพราะเรามีสิทธิที่จะถามดีกว่าปล่อยให้เราเข้าไปทำงานแล้วยังสงสัยคาใจแต่ไม่โอกาสได้ถามการพูดความจริงทำให้แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดทำให้สามารถปิดประเด็นได้ไม่เกิดความระแวงหรือสงสัยในอีกฝ่ายเหมือนการซื้อขายถ้าอีกฝ่ายมีข้อสงสัยแต่ไม่ยอมพูดก็จะทำให้การขายล่าช้าจนกระทั่งทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังเมื่อเราฟังรายละเอียดต่างๆแล้วเราเกิดชอบขึ้นมาแต่เราไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าชอบงานนี้อยากทำเลือกเราเถอะเราอาจจะใช้การแสดงความสนใจในสิ่งที่เขาพูดเพื่อให้เขารู้ว่าเราสนใจในงานที่เขาพูดมาจะทำให้ผู้สัมภาษณ์ประทับใจว่าเราสนใจในสิ่งที่เขาพูดเมื่อบริษัทถามข้อมูลเราที่เขาอยากรู้เราก็มีสิทธิถามข้อมูลที่เราอยากเหมือนกันและเมื่องานมีสิทธิเลือกเราเราก็มีสิทธิเลือกงานเหมือนกัน
เขียนจดหมายสมัครงานให้เป็นที่สนใจ
ก่อนอื่นเรามารู้จักจดหมายนำกันก่อนจดหมายนำนั้นเหมือนกับจดหมายที่เป็นทางการทั่วไปมีชื่อและที่อยู่ของผู้มาสมัครงานวันที่ชื่อของผู้ที่อำนาจในการตัดสินใจรับใบสมัครส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงเช่นผู้จัดการหรือเจ้าของบริษัทเป็นต้นในกรณีที่บริษัทไม่ใหญ่มากเนื้อหาของจดหมายไม่ควรมีความยาวมากเกิน1หน้าA4เราไม่จำเป็นต้องใส่รายละเอียดให้มากเพียงแค่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้นเพราะว่ารายละเอียดจะไปอยู่ในResumeหมดแล้วทั้งหมดแล้วจดหมายนำต้องมีอะไรบ้างที่จะทำให้เราได้ถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์งานมีดังต่อไปนี้ชื่อนามสกุลที่อยู่เบอร์ติดต่ออย่างน้อยสองเบอร์และตำแหน่งที่สนใจสมัครทุกสิ่งข้างต้นต้องเขียนให้ชัดเจนมองเห็นได้ง่ายเพราะเป็นเอกสารชุดแรกที่บริษัทจะได้รับจากเราแล้วต้องลงลายเซ็นต์กำกับด้วยในตอนท้ายของจดหมายก่อนส่งเอกสารต้องตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบเสมอเพื่อป้องกันความผิดพลาดเล็กน้อยๆที่จะเกิดขึ้น
สิ่งทีหลายคนผิดพลาดในการส่งจดหมายอย่างมากที่สุดคือการเขียนชื่อบริษัทผิดเป็นเรื่องที่ไม่ให้น่าอภัยอย่างมากเพราะแม้กระทั่งชื่อบริษัทยังเขียนผิดแล้วการทำงานจะทำผิดพลาดมากแค่ไหนไม่ว่าเราจะเขียนด้วยมือหรือพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เราต้องใช้กระดาษA4เสมอไม่ควรใช้กระดาษรีไซเคิลเด็ดขาดเพราะเป็นเอกสารสำคัญรวมทั้งหลักฐานต่างๆทั้งสำเนาบัตรประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านก็ต้องเซ็นต์กำกับอีกด้วยและสีของกระดาษควรจะเป็นสีขาวและสิ่งที่ต้องระวังคือกระดาษขาดยับหรือเปียกน้ำเพราะจะทำให้เอกสารเราดูไม่เรียบร้อยและอาจจะทำให้ข้อมูลบางอย่างขาดหายไปเราต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเราไม่ได้ทำงานศิลปะส่งอาจารย์จึงไม่จำเป็นต้องใส่สีสันหรือลวดลายลงไปในจดหมายสมัครงานเว้นแต่ว่าบริษัทจะขอผลงานตัวอย่างของเราเพื่อประกอบการพิจารณาเราก็ต้องมีส่วนที่แสดงผลงานแนบไปด้วยแต่ถ้าเป็นตำแหน่งที่ไม่จำเป็นต้องใช้เราไม่ควรจะตกแต่งลวดลายหรือสีสันเพิ่มเติมเด็ดขาดเพราะจะทำให้บริษัทเข้าใจผิดคิดว่าเรามาส่งผลงานประกวดมากกว่ามาส่งจดหมายสมัครงานสำหรับResumeและจดหมายเราต้องทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเมื่อเราไปสมัครงานบริษัทคนไทยเราก็ใช้ภาษาไทยส่งไปส่วนถ้าเราไปสมัครบริษัทต่างชาติเราก็ใช้ภาษาอังกฤษส่งไปทั้งนี้เราไม่ควรส่งผิดเด็ดขาดเพราะถ้าเราส่งผิดแล้วบริษัทเห้นว่าผิดเขาอาจจะทิ้งจดหมายนั้นไปเลยก็ได้
รูปถ่ายสำคัญมากแค่ไหนรูปถ่ายเป็นหลักฐานการสมัครงานอีกอย่างที่สำคัญอย่างยิ่งเมื่อresumeเป็นการบอกตัวตนคุณรูปถ่ายก็คือการบอกหน้าตาคุณการส่งรูปถ่ายขึ้นอยู่กับว่าบริษัทกำหนดให้ส่งไปเท่าไหร่ที่เป็นที่นิยมคือการติดกาวแนบไปกับใบสมัครหรือจะใช้วิธีสแกนก็ได้ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดคือมุมขวาบนต้องอย่าลืมติดรูปถ่ายด้วยถ้าเราใส่ไปเฉยๆในซองอาจจะทำให้รูปถ่ายของเราสูญหายก็ได้ทางที่ดีควรเย็บติดหรือติดกาวเลยยิ่งดีรูปถ่ายสีหรือรูปถ่ายขาวดำนั้นขึ้นอยู่กับว่าบริษัทนั้นกำหนดมาหรือไม่ว่าต้องการแบบใดทั้งนี้รูปถ่ายสีจะเป็นที่นิยมมากกว่าเพราะว่าทำให้เห็นรายละเอียดได้ชัดเจนมากยิ่งกว่าและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือไม่ควรแต่งรูปจนมากเกินไปถ้าเป็นตำแหน่งงานที่ไม่ได้ใช้หน้าตาในการทำงานก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าตำแหน่งงานที่ใช้หน้าตาทำงานเช่นพริ้ตตี้หรือประชาสัมพันธ์การส่งรูปถ่ายที่ใกล้เคียงกับตัวจริงมากที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะรูปถ่ายจะเป็นสิ่งทีพิจารณาอีกอย่างหนึ่งสำหรับงานในตำแหน่งเหล่านี้
สุดท้ายคือการเตรียมส่งเอกสารทั้งหมดเราต้องตรวจสอบให้ดีว่ามีอะไรผิดพลาดคือขาดหายหรือไม่ก่อนที่จะส่งไปให้บริษัทเพราะเมื่อส่งไปแล้วเราไม่สามารถขอคืนได้อีกและต้องจัดเรียงเอกสารให้ตรงตามที่บริษัทกำหนดมาเพื่องานต่อการนำไปใช้เย็บเอกสารต่างๆให้เรียบร้อยป้องกันการสูญหายของเอกสารชิ้นใดชิ้นหนึ่งเมื่อถูกนำมาใช้พิจารณาและที่สำคัญไม่ควรใช้ซองที่ทำให้เอกสารภายในเสียหายหรือพับกันจนเอกสารเสียหายสุดท้ายคิดแสตมป์ตามไปรณีย์และต้องชำระค่าส่งด้วยไม่เช่นนั้นไปรณีย์จะไปเก้บที่บริษัทซึ่งจะทำให้เราดูไม่ดีตั้งแต่แรก
สิ่งทีหลายคนผิดพลาดในการส่งจดหมายอย่างมากที่สุดคือการเขียนชื่อบริษัทผิดเป็นเรื่องที่ไม่ให้น่าอภัยอย่างมากเพราะแม้กระทั่งชื่อบริษัทยังเขียนผิดแล้วการทำงานจะทำผิดพลาดมากแค่ไหนไม่ว่าเราจะเขียนด้วยมือหรือพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เราต้องใช้กระดาษA4เสมอไม่ควรใช้กระดาษรีไซเคิลเด็ดขาดเพราะเป็นเอกสารสำคัญรวมทั้งหลักฐานต่างๆทั้งสำเนาบัตรประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านก็ต้องเซ็นต์กำกับอีกด้วยและสีของกระดาษควรจะเป็นสีขาวและสิ่งที่ต้องระวังคือกระดาษขาดยับหรือเปียกน้ำเพราะจะทำให้เอกสารเราดูไม่เรียบร้อยและอาจจะทำให้ข้อมูลบางอย่างขาดหายไปเราต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเราไม่ได้ทำงานศิลปะส่งอาจารย์จึงไม่จำเป็นต้องใส่สีสันหรือลวดลายลงไปในจดหมายสมัครงานเว้นแต่ว่าบริษัทจะขอผลงานตัวอย่างของเราเพื่อประกอบการพิจารณาเราก็ต้องมีส่วนที่แสดงผลงานแนบไปด้วยแต่ถ้าเป็นตำแหน่งที่ไม่จำเป็นต้องใช้เราไม่ควรจะตกแต่งลวดลายหรือสีสันเพิ่มเติมเด็ดขาดเพราะจะทำให้บริษัทเข้าใจผิดคิดว่าเรามาส่งผลงานประกวดมากกว่ามาส่งจดหมายสมัครงานสำหรับResumeและจดหมายเราต้องทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเมื่อเราไปสมัครงานบริษัทคนไทยเราก็ใช้ภาษาไทยส่งไปส่วนถ้าเราไปสมัครบริษัทต่างชาติเราก็ใช้ภาษาอังกฤษส่งไปทั้งนี้เราไม่ควรส่งผิดเด็ดขาดเพราะถ้าเราส่งผิดแล้วบริษัทเห้นว่าผิดเขาอาจจะทิ้งจดหมายนั้นไปเลยก็ได้
รูปถ่ายสำคัญมากแค่ไหนรูปถ่ายเป็นหลักฐานการสมัครงานอีกอย่างที่สำคัญอย่างยิ่งเมื่อresumeเป็นการบอกตัวตนคุณรูปถ่ายก็คือการบอกหน้าตาคุณการส่งรูปถ่ายขึ้นอยู่กับว่าบริษัทกำหนดให้ส่งไปเท่าไหร่ที่เป็นที่นิยมคือการติดกาวแนบไปกับใบสมัครหรือจะใช้วิธีสแกนก็ได้ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดคือมุมขวาบนต้องอย่าลืมติดรูปถ่ายด้วยถ้าเราใส่ไปเฉยๆในซองอาจจะทำให้รูปถ่ายของเราสูญหายก็ได้ทางที่ดีควรเย็บติดหรือติดกาวเลยยิ่งดีรูปถ่ายสีหรือรูปถ่ายขาวดำนั้นขึ้นอยู่กับว่าบริษัทนั้นกำหนดมาหรือไม่ว่าต้องการแบบใดทั้งนี้รูปถ่ายสีจะเป็นที่นิยมมากกว่าเพราะว่าทำให้เห็นรายละเอียดได้ชัดเจนมากยิ่งกว่าและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือไม่ควรแต่งรูปจนมากเกินไปถ้าเป็นตำแหน่งงานที่ไม่ได้ใช้หน้าตาในการทำงานก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าตำแหน่งงานที่ใช้หน้าตาทำงานเช่นพริ้ตตี้หรือประชาสัมพันธ์การส่งรูปถ่ายที่ใกล้เคียงกับตัวจริงมากที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะรูปถ่ายจะเป็นสิ่งทีพิจารณาอีกอย่างหนึ่งสำหรับงานในตำแหน่งเหล่านี้
สุดท้ายคือการเตรียมส่งเอกสารทั้งหมดเราต้องตรวจสอบให้ดีว่ามีอะไรผิดพลาดคือขาดหายหรือไม่ก่อนที่จะส่งไปให้บริษัทเพราะเมื่อส่งไปแล้วเราไม่สามารถขอคืนได้อีกและต้องจัดเรียงเอกสารให้ตรงตามที่บริษัทกำหนดมาเพื่องานต่อการนำไปใช้เย็บเอกสารต่างๆให้เรียบร้อยป้องกันการสูญหายของเอกสารชิ้นใดชิ้นหนึ่งเมื่อถูกนำมาใช้พิจารณาและที่สำคัญไม่ควรใช้ซองที่ทำให้เอกสารภายในเสียหายหรือพับกันจนเอกสารเสียหายสุดท้ายคิดแสตมป์ตามไปรณีย์และต้องชำระค่าส่งด้วยไม่เช่นนั้นไปรณีย์จะไปเก้บที่บริษัทซึ่งจะทำให้เราดูไม่ดีตั้งแต่แรก
ทำอย่างไรเมื่อตื่นเต้นตอนเข้าห้องสัมภาษณ์งาน
สำหรับคนท่ไม่เคยสัมภาษณ์งานมาก่อนต้องมีความกลัวเป็นธรรมดากลัวว่าจะอะไรผิดหรือทำอะไรที่ทำให้ไม่ถูกเลือกรับเข้าทำงานจึงทำให้เกิดความประหม่ากลายเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะบางครั้งทำให้เกิดการพูดติดๆขัดๆหรือพูดอะไรไม่ออกทำให้การสัมภาษณ์งานนั้นล้มเหลวแตกต่างจากคนที่เคยสัมภาษณ์งานมาแล้วหลายๆครั้งความประหม่าและความตื่นเต้นนั้นจะหายไปเพราะเกิดความเคยชินกับการสัมภาษณ์งานแล้วและยังจับทางของผู้สัมภาษณ์ได้อีกด้วยว่าจะถามอะไรและทดสอบอะไรสำหรับผู้ที่ไม่เคยสัมภาษณ์งานมาก่อนแน่นอนว่าความกลัวที่จะผิดพลาดนั้นมีได้ทุกคนแต่ทำไมเราไม่ลองตั้งสติและมองว่ามันเป็นแค่การพูดคุยระหว่างเพื่อนกันดูละแต่ต้องตั้งอยู่บนความสุภาพด้วยนะไม่ใช่ใส่อารมณ์จนเกินไปทำให้ดูเหมือนว่าเราไม่ให้เกียรติผู้สัมภาษณ์ทั้งนี้เราต้องดูสถานการณ์ด้วยว่าตอนไหนควรพูดจริงจังตอนไหนควรพูดเล่นและไม่ควรพูดจนยืดยาวเกินไปเพราะจะทำให้น่าเบื่อ
เมื่อเรารู้สึกว่าเรากลัวหรือประหม่าให้เรานึกย้อนกลับไปว่าก่อนที่เราจะถึงด่านสุดท้ายคือการสัมภาษณ์งานนั้นเราผ่านอะไรมาบ้างเรียนมาหนักแค่ไหนกว่าจะจบและต้องตะเวนหางานส่งใบสมัครงานไม่รู้กี่ร้อยใบจนถูกเรียกมาสัมภาษณ์เราจะยอมแพ้หรือเหลือเพียงแค่ด่านสุดท้ายคือการสัมภาษณ์งานเท่านั้นเองเราต้องสู้ต้องพยายามสิ่งไหนที่เรากลัวขจัดมันออกไปให้หมดเหลือแต่ความกล้าและความมุ่งมั่นเท่านั้นการสัมภาษณ์งานนั้นมีอยู่หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับว่าตำแหน่งงานนั้นมีความสำคัญมากเพียงใดเราต้องเอาชนะและผ่านการสัมภาษณ์งานนี้ไปให้ได้ไม่ว่าจะยากสักเพียงใดแต่คงไม่ยากเกินความพยายามของเรา
การสัมภาษณ์งานแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
ผู้สัมภาษณ์1คนกับผู้ถูกสัมภาษณ์อีก1คนเป็นการสัมภาษณ์ที่นิยมอย่างมากกับงานในตำแหน่งเริ่มต้นซึ่งความน่ากลัวมีไม่มากเท่าไหร่ถ้าเราสามารถคุมสถานการณ์ได้เราก็ผ่านได้อย่างง่ายดายแต่ข้อเสียของการสัมภาษณ์แบบนี้คือมีผู้สัมภาษณ์หรือผู้ตัดสินว่าเราได้รับเลือกเข้าทำงานหรือไม่เพียงคนเดียวถ้าเกิดเขาไม่ชอบคำตอบของเราหรือมีอคติกับเราเราก็หมดโอกาสแทบจะในทันทีเพราะไม่มีใครมาเเย้งเพราะมีผู้ตัดสินเพียงคนเดียว
การสัมภาษณ์งานแบบสองต่อหนึ่งหรือสามต่อหนึ่ง
ผู้สัมภาษณ์1คนกับผู้ถูกสัมภาษณ์อีก2คนหรือ3คนเป็นการสัมภาษณ์งานในตำแหน่งที่มีการแข่งขันสูงขึ้นมาอีกเพราะว่าบริษัทจะเรียกผู้สมัครสองหรือสามคนมาพร้อมกันและตั้งคำถามเพื่อดูทัศนคติและการแก้ปัญหาเพื่อหาคนที่เหมาะสมที่สุดหรือจะเป็นผู้สัมภาษณ์2คนหรือ3คนกับผู้ถูกสัมภาษณ์อีก1คนเพื่อให้เกิดความคิดเห็นต่างๆแล้วนำมาวิเคราะห์ร่วมกันว่าควรรับเข้าทำงานหรือไม่เป็นข้อดีของการสัมภาษณ์แบบนี้แต่ข้อเสียก็มีคือความกดดันที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเราถูกหลายๆคำถามในเวลาเดียวกันทำให้บางคนถึงกับตอบคำถามไม่ถูกและทำให้ไม่ถูกเลือกรับเข้าทำงานก็มี
การสัมภาษณ์งานแบบสามต่อกลุ่มหรือมากกว่านั้น
มักใช้กับการสัมภาษณ์งานที่รับคนในจำนวนมากโดยเรียกผู้สมัครเข้ามาในวันเดียวกันและจัดกลุ่มเพื่อเรียกสัมภาษณ์การสัมภาษณ์แบบมีทำให้มีความประหม่าน้อยลงแต่การแข่งขันจะสูงมากยิ่งขึ้นเพราะเราต้องแสดงความสามารถให้โดดเด่นที่สุดส่วนใหญ่แล้วการสัมภาษณ์แบบนี้จะเป็นการคัดพนักงานเข้าประจำสาขาต่างๆว่าเหมาะสมกับลักษณะงานประเภทไหนมากกว่าการคัดผู้สมัครออก
ไม่ว่าเราจะกลัวประหม่าหรือสั่นแค่ไหนเพียงแค่เรามีความเป็นตัวของตัวเองและมีสติตั้งใจตอบคำถามที่ผู้สัมภาษณ์ถามไม่พูดนอกประเด็นก็จะทำให้เราได้รับเลือกเข้าเป็นหนึ่งในพนักงานอย่างแน่นอนความกลัวเกิดขึ้นได้กับทุกคนเราต้องหมั่นฝึกฝนเอาชนะความกลัวนั้นๆเพื่อให้เราเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดสู้สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้จงอย่ากลัวที่จะทำอะไรใหม่ๆเพราะนั้นจะทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น
เมื่อเรารู้สึกว่าเรากลัวหรือประหม่าให้เรานึกย้อนกลับไปว่าก่อนที่เราจะถึงด่านสุดท้ายคือการสัมภาษณ์งานนั้นเราผ่านอะไรมาบ้างเรียนมาหนักแค่ไหนกว่าจะจบและต้องตะเวนหางานส่งใบสมัครงานไม่รู้กี่ร้อยใบจนถูกเรียกมาสัมภาษณ์เราจะยอมแพ้หรือเหลือเพียงแค่ด่านสุดท้ายคือการสัมภาษณ์งานเท่านั้นเองเราต้องสู้ต้องพยายามสิ่งไหนที่เรากลัวขจัดมันออกไปให้หมดเหลือแต่ความกล้าและความมุ่งมั่นเท่านั้นการสัมภาษณ์งานนั้นมีอยู่หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับว่าตำแหน่งงานนั้นมีความสำคัญมากเพียงใดเราต้องเอาชนะและผ่านการสัมภาษณ์งานนี้ไปให้ได้ไม่ว่าจะยากสักเพียงใดแต่คงไม่ยากเกินความพยายามของเรา
การสัมภาษณ์งานแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
ผู้สัมภาษณ์1คนกับผู้ถูกสัมภาษณ์อีก1คนเป็นการสัมภาษณ์ที่นิยมอย่างมากกับงานในตำแหน่งเริ่มต้นซึ่งความน่ากลัวมีไม่มากเท่าไหร่ถ้าเราสามารถคุมสถานการณ์ได้เราก็ผ่านได้อย่างง่ายดายแต่ข้อเสียของการสัมภาษณ์แบบนี้คือมีผู้สัมภาษณ์หรือผู้ตัดสินว่าเราได้รับเลือกเข้าทำงานหรือไม่เพียงคนเดียวถ้าเกิดเขาไม่ชอบคำตอบของเราหรือมีอคติกับเราเราก็หมดโอกาสแทบจะในทันทีเพราะไม่มีใครมาเเย้งเพราะมีผู้ตัดสินเพียงคนเดียว
การสัมภาษณ์งานแบบสองต่อหนึ่งหรือสามต่อหนึ่ง
ผู้สัมภาษณ์1คนกับผู้ถูกสัมภาษณ์อีก2คนหรือ3คนเป็นการสัมภาษณ์งานในตำแหน่งที่มีการแข่งขันสูงขึ้นมาอีกเพราะว่าบริษัทจะเรียกผู้สมัครสองหรือสามคนมาพร้อมกันและตั้งคำถามเพื่อดูทัศนคติและการแก้ปัญหาเพื่อหาคนที่เหมาะสมที่สุดหรือจะเป็นผู้สัมภาษณ์2คนหรือ3คนกับผู้ถูกสัมภาษณ์อีก1คนเพื่อให้เกิดความคิดเห็นต่างๆแล้วนำมาวิเคราะห์ร่วมกันว่าควรรับเข้าทำงานหรือไม่เป็นข้อดีของการสัมภาษณ์แบบนี้แต่ข้อเสียก็มีคือความกดดันที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเราถูกหลายๆคำถามในเวลาเดียวกันทำให้บางคนถึงกับตอบคำถามไม่ถูกและทำให้ไม่ถูกเลือกรับเข้าทำงานก็มี
การสัมภาษณ์งานแบบสามต่อกลุ่มหรือมากกว่านั้น
มักใช้กับการสัมภาษณ์งานที่รับคนในจำนวนมากโดยเรียกผู้สมัครเข้ามาในวันเดียวกันและจัดกลุ่มเพื่อเรียกสัมภาษณ์การสัมภาษณ์แบบมีทำให้มีความประหม่าน้อยลงแต่การแข่งขันจะสูงมากยิ่งขึ้นเพราะเราต้องแสดงความสามารถให้โดดเด่นที่สุดส่วนใหญ่แล้วการสัมภาษณ์แบบนี้จะเป็นการคัดพนักงานเข้าประจำสาขาต่างๆว่าเหมาะสมกับลักษณะงานประเภทไหนมากกว่าการคัดผู้สมัครออก
ไม่ว่าเราจะกลัวประหม่าหรือสั่นแค่ไหนเพียงแค่เรามีความเป็นตัวของตัวเองและมีสติตั้งใจตอบคำถามที่ผู้สัมภาษณ์ถามไม่พูดนอกประเด็นก็จะทำให้เราได้รับเลือกเข้าเป็นหนึ่งในพนักงานอย่างแน่นอนความกลัวเกิดขึ้นได้กับทุกคนเราต้องหมั่นฝึกฝนเอาชนะความกลัวนั้นๆเพื่อให้เราเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดสู้สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้จงอย่ากลัวที่จะทำอะไรใหม่ๆเพราะนั้นจะทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น
เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งาน
สิ่งที่เราจำเป็นต้องทราบเป็นสิ่งแรกสำหรับการสัมภาษณ์งานเลยคือตำแหน่งงานที่เราสมัครงานวันเวลาที่ตั้งของบริษัทที่เราสมัครงานไว้และก่อนไปสัมภาษณ์งานเราควรติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างเพราะบางทีบริษัทต้องการเอกสารบางอย่างจากเราซึ่งถ้าเราไม่มีให้ก็อาจจะทำบริษัทมองว่าเราไม่เตรียมพร้อมที่จะสัมภาษณ์งานเพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปสัมภาษณ์งานต้องเตรียมเอกสารต่างๆไปสำรองเสมอการสมัครงานผ่านทางอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่แล้วต้องเตรียมเอกสารไปให้ทั้งหมดเพราะบริษัทจะได้รับแค่resumeของเราเท่านั้นสำหรับคนที่ส่งเป็นจดหมายไปในการสมัครงานอาจจะไม่ต้องเตรียมเอกสารอะไรเพิ่มเติมยกเว้นแต่ว่าบริษัทต้องการเอกสารอะไรเพิ่มเติมซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องชี้แจ้งเราก่อนที่เราจะถูกเรียกไปสัมภาษณ์งานเช่นเอกสารเกี่ยวกับงานที่เคยทำงานก่อนรูปถ่ายและก่อนที่เราจะไปสัมภาษณ์งานเราต้องสอบถามบริษัทด้วยว่ามีการทดสอบอะไรเพิ่มเติมหรือไม่เพื่อให้เราได้เตรียมตัวก่อนเริ่มสัมภาษณ์งานบางครั้งบริษัทก็ไม่ได้แจ้งให้เราทราบเราจึงจำเป็นต้องสอบถามด้วยตัวเองเช่นเราไปสมัครงานเป็นวิศวกรบริษัทอาจจะมีการทดสอบที่วัดความรู้การคำนวณเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมการทดสอบไม่ใช่การทดสอบแบบยากเย็นแต่เป้นการทดสอบแบบพื้นฐานในเรื่องที่ควรรู้เป็นต้นคุณควรถามให้ละเอียดเพื่อให้เราพร้อมกับการทดสอบนั้นๆอาจจะมีการทดสอบที่เราไม่ถนัดเราจึงจำเป็นต้องทราบก่อนว่ามีการทดสอบอะไรบ้าง
การที่เรากล้าสอบทราบข้อมูลไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะว่าถ้าเราทราบแล้วบริษัทสามารถบอกได้ก็จะกลายเป็นว่าเราได้เปรียบคนอื่นที่มาสัมภาษณ์แต่บางทีบริษัทก็ปกปิดข้อมูลเป็นความลับเพื่อให้การทดสอบมีความเท่าเทียมกันแต่ถ้าเรากล้าถามก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรแถมยังได้ประโยชน์อีกด้วยถ้าบริษัทบอกข้อมูลนั้นแก่เราอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้รายละเอียดของงานที่เราสมัครไปในระดับหนึ่งบริษัทไม่ได้คาดหวังให้เรารู้รายละเอียดทั้งหมดแค่ให้เราบอกว่าเรารู้หรือเปล่าว่างานนี้เกี่ยวข้องกับอะไรและต้องทำอะไรบ้างซึ่งเป็นเรื่องไม่ยากจนเกินไปเราอาจจะหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาก่อนที่จะสัมภาษณ์งานรวมทั้งเราต้องรู้ข้อมูลที่สำคัญของบริษัทบางส่วนด้วยเช่นบริษัทมีชื่อเสียงในเรื่องอะไรมีผลงานอะไรบ้างที่โดดเด่นยิ่งถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆเรื่องพวกนี้สามารถค้นหาได้จากอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องพยายามอะไรมากมายไม่เหมือนกับบริษัทเล็กๆเพราะการหาข้อมูลของบริษัทนั้นจะยากมากถ้าไม่เข้าไปสอบถามกับบริษัทโดยตรงเพราะบริษัทเหล่านี้ไม่ค่อยมีชื่อเสียงจึงไม่ปรากฏชื่อบริษัทในอินเทอร์เน็ตมากเท่าไรเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่เราซึ่งจะเป็นหนึ่งในพนักงานของบริษัทต้องรู้เรื่องราวต่างๆขอบริษัทพอที่จะเล่าให้คนอื่นฟังได้เมื่อมีการสอบถามเราซึ่งบางครั้งสิ่งเหล่านี้ทำให้บริษัทเรามีชื่อเสียงมากขึ้นเพราะคนที่เราเล่าให้ฟังเกี่ยวกับบริษัทของเราเขาก็สามารถนำไปเล่าต่อกับคนอื่นๆได้อีกมากมายเป็นการบอกปากต่อปากนั้นเองข้อมูลต่างๆของบริษัทเราสามารถหาได้จากอินเทอร์เน็ตซึ่งมีดังนี้
หาข้อมูลบริษัทจากอินเทอร์เน็ต
1.เว็บไซต์ของบริษัท
บางบริษัทที่ต้องการติดต่อกับลูกค้าได้ง่ายๆก็จะมีการลงทุนสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อเป็นการนำเสนอตัวบริษัทว่ามีผลงานอะไรบ้างทำเกี่ยวกับอะไรบ้างรวมทั้งยังมีการบอกประวัติความเป็นมาของบริษัทยิ่งถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆก็จะมีเว็บไซต์ที่ใหญ่เกี่ยวทั้งข้อมูลต่างๆมากมายให้เราศึกษาอีกด้วย
2.Search Engineต่างๆ
จะเป็นการพิมพ์ชื่อบริษัทลงไปถ้าบริษัทนั้นมีผลงานหรือกิจกรรมอะไรก็จะแสดงผลขึ้นมาทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทมีการสร้างผลงานไว้มากน้อยแค่ไหนอีกทั้งยังมีการโฆษณาเพื่อให้บริษัทเป็นที่สนใจโดยยกความสำเร็จของบริษัทขึ้นมาเป็นจุดในการโฆษณาอีกด้วย
การที่เรากล้าสอบทราบข้อมูลไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะว่าถ้าเราทราบแล้วบริษัทสามารถบอกได้ก็จะกลายเป็นว่าเราได้เปรียบคนอื่นที่มาสัมภาษณ์แต่บางทีบริษัทก็ปกปิดข้อมูลเป็นความลับเพื่อให้การทดสอบมีความเท่าเทียมกันแต่ถ้าเรากล้าถามก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรแถมยังได้ประโยชน์อีกด้วยถ้าบริษัทบอกข้อมูลนั้นแก่เราอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้รายละเอียดของงานที่เราสมัครไปในระดับหนึ่งบริษัทไม่ได้คาดหวังให้เรารู้รายละเอียดทั้งหมดแค่ให้เราบอกว่าเรารู้หรือเปล่าว่างานนี้เกี่ยวข้องกับอะไรและต้องทำอะไรบ้างซึ่งเป็นเรื่องไม่ยากจนเกินไปเราอาจจะหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาก่อนที่จะสัมภาษณ์งานรวมทั้งเราต้องรู้ข้อมูลที่สำคัญของบริษัทบางส่วนด้วยเช่นบริษัทมีชื่อเสียงในเรื่องอะไรมีผลงานอะไรบ้างที่โดดเด่นยิ่งถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆเรื่องพวกนี้สามารถค้นหาได้จากอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องพยายามอะไรมากมายไม่เหมือนกับบริษัทเล็กๆเพราะการหาข้อมูลของบริษัทนั้นจะยากมากถ้าไม่เข้าไปสอบถามกับบริษัทโดยตรงเพราะบริษัทเหล่านี้ไม่ค่อยมีชื่อเสียงจึงไม่ปรากฏชื่อบริษัทในอินเทอร์เน็ตมากเท่าไรเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่เราซึ่งจะเป็นหนึ่งในพนักงานของบริษัทต้องรู้เรื่องราวต่างๆขอบริษัทพอที่จะเล่าให้คนอื่นฟังได้เมื่อมีการสอบถามเราซึ่งบางครั้งสิ่งเหล่านี้ทำให้บริษัทเรามีชื่อเสียงมากขึ้นเพราะคนที่เราเล่าให้ฟังเกี่ยวกับบริษัทของเราเขาก็สามารถนำไปเล่าต่อกับคนอื่นๆได้อีกมากมายเป็นการบอกปากต่อปากนั้นเองข้อมูลต่างๆของบริษัทเราสามารถหาได้จากอินเทอร์เน็ตซึ่งมีดังนี้
หาข้อมูลบริษัทจากอินเทอร์เน็ต
1.เว็บไซต์ของบริษัท
บางบริษัทที่ต้องการติดต่อกับลูกค้าได้ง่ายๆก็จะมีการลงทุนสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อเป็นการนำเสนอตัวบริษัทว่ามีผลงานอะไรบ้างทำเกี่ยวกับอะไรบ้างรวมทั้งยังมีการบอกประวัติความเป็นมาของบริษัทยิ่งถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆก็จะมีเว็บไซต์ที่ใหญ่เกี่ยวทั้งข้อมูลต่างๆมากมายให้เราศึกษาอีกด้วย
2.Search Engineต่างๆ
จะเป็นการพิมพ์ชื่อบริษัทลงไปถ้าบริษัทนั้นมีผลงานหรือกิจกรรมอะไรก็จะแสดงผลขึ้นมาทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทมีการสร้างผลงานไว้มากน้อยแค่ไหนอีกทั้งยังมีการโฆษณาเพื่อให้บริษัทเป็นที่สนใจโดยยกความสำเร็จของบริษัทขึ้นมาเป็นจุดในการโฆษณาอีกด้วย
เรียกเงินเดือนเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม
คำถามนี้ถูกถามบ่อยโดยนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางานทำซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะว่าเรายังไม่เคยทำงานมาก่อนก็คงไม่ทราบเกี่ยวกับการเรียกเงินเดือนว่าควรเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมแต่บางคนก็ได้ยินฐานเงินเดือนมาจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนที่ทำงานอยู่หรือบริษัทที่เข้ามาในมหาวิทยาลัยรวมทั้งการหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราด้วยว่ามีความสามารถมากแค่ไหนที่เหมาะสมกับเงินเดือนที่เราเรียกไปถ้าเราสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่างการเรียกเงินเดือนสูงก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เรารู้กันอยู่แล้วว่าสายที่เราจบมาน่าจะได้เงินเดือนประมาณเท่าไรเพราะในแต่ละสายก็จะมีการพูดถึงเรื่องเงินเดือนของสายนั้นๆไว้เสมอจากทั้งรุ่นพี่ี่จบคณะวิศวกรรมศาสตร์ไปทำงานเป็นวิศวกรโยธาเงินเดือนเริ่มต้น30000.-ส่วนรุ่นพี่อีกคนจบจากคณะบัญชีไปทำงานเป็นพนักงานธนาคารเงินเดือนเริ่มต้น20000.-ซึ่งเห็นได้ว่าแต่สายอาชีพนั้นจะมีฐานเงินเดือนเริ่มต้นที่ต่างกันแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้เสมอไปถ้าเราสามารถพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆได้เราก็อาจจะถูกส่งไปทำงานต่างประเทศซึ่งจะเพิ่มเงินเดือนให้เราสูงมาอีกทั้งยังได้เดินทางไปต่างประเทศฟรีอีกด้วยจะเห็นได้ว่าแม้เราจบจากสายที่ฐานเงินเดือนไม่สูงมากแต่ถ้าเรามีความขยันและมีความสามารถเพิ่มเติมเราสามารถเพิ่มเงินเดือนให้ตัวเองได้ง่ายๆ
ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงกรอบของอัตราจ้างที่จะทำให้เราได้เห็นภาพรวมของฐานเงินเดือนว่าเป็นเช่นไรเพื่อให้คุณได้พอมองเห็นตัวเลขที่เราควรจะได้รับถ้าเราทำงานในตำแหน่งเหล่านั้นแต่อย่าลืมว่าเงินเดือนไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายที่จบมาอย่างเดียวยังขึ้นอยู่กับความสามารถของเราอีกด้วยซึ่งทำให้เงินเดือนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ธุรกิจที่สามารถทำให้เงินเดือนเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับประเภทของบริษัทที่เราทำงานตลาดเป็นเช่นไรเศรษฐกิจณตอนนั้นเป็นอย่างไรโดยรวมถึงความสามารถของเราว่ามีมากแค่ไหนที่บริษัทนั้นจะยอมจ่ายเพื่อให้ได้ตัวเรามาร่วมงานและยังมีเหตุผลอีกมากมายหลากหลายอย่างที่ทำให้เงินเดือนเปลี่ยนแปลงไปมาได้
ยกตัวอย่างมีเพื่อน2คนจบมาจากมหาลัยเดียวกันคณะเดียวกันเกรดเฉลี่ยไม่ต่างกันมากได้ทำงานเป็นวิศวกรเหมือนกันแต่คนละบริษัทคนหนึ่งได้เงินเดือน15000ส่วนอีกคนได้เงินเดือน30000ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรเพราะคนหนึ่งทำงานในบริษัทเล็กและเป็นบริษัทของคนไทยส่วนอีกคนทำงานในบริษัทใหญ่อีกทั้งยังเป็นบริษัทของต่างชาติถ้าถามว่าทำไมคนที่ทำงานในบริษัทเล็กถึงไปทำงานในบริษัทใหญ่ที่เป็นของต่างชาติเหตุผลมันง่ายมากๆเพราะไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้นั้นเองทำให้เกิดความกลัวว่าจะทำงานไม่ได้จึงสมัครงานในบริษัทของคนไทยซึ่งจะเห็นได้ว่าเพียงแค่สามารถสื่อสารหรือไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ก็มีผลต่อเงินเดือนที่ได้รับเพราะฉะนั้นจงอย่าลืมหมั่นฝึกฝนความสามารถเพิ่มเติมเพราะความรู้มีให้เรียนรู้อยู่เสมออยู่ที่ว่าเราจะตั้งใจกับมันไหมเท่านั้นเอง
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรเลือกทำงานกับบริษัทใหญ่เพราะว่าบริษัทใหญ่จะมีฐานเงินเดือนที่ชัดเจนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเงินเดือนได้มากเพราะถ้าเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อทั้งระบบซึ่งอาจจะทำให้บริษัทเจ๊งเลยก็ได้ส่วนบริษัทเล็กจะสามารถเปลี่ยนแปลงเงินเดือนได้ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสามารถคล่องของบริษัทช่วงไหนที่บริษัทกำลังขาดทุนอาจจะจำเป็นต้องลดเงินเดือนของพนักงานลงหรืออาจจะถึงต้องไล่พนักงานบางส่วนออกเพื่อคงสภาพของบริษัทต่อไปการเรียกเงินเดือนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเรียกตามฐานเงินเดือนของอาชีพนั้นๆไม่ต่ำหรือสูงจนเกินไปต้องอ้างอิงกับข้อมูลในปัจจุบันซึ่งบางครั้งเราต้องเลือกความมั่นคงของงานมากกว่าเงินเดือนที่ได้รับถ้าให้เลือกระหว่างได้เงินเดือนสูงแต่ทำงานได้3เดือนถูกไล่ออกกับได้เงินเดือนน้อยลงมาหน่อยแต่สามารถทำงานได้เป็นอีก10ปีๆเราก็คงต้องเลือกอย่างหลังเพราะว่าความมั่นคงของเรานั้นสำคัญกว่าการเรียกเงินเดือนขึ้นอยู่กับความต้องการของตัวเราเองว่าเราพอใจตัวเลขประมาณไหนและต้องดูความสามารถของตัวเองด้วยว่ามีความสามารถเหมาะสมกับเงินเดือนที่เรียกไปหรือไม่
เรารู้กันอยู่แล้วว่าสายที่เราจบมาน่าจะได้เงินเดือนประมาณเท่าไรเพราะในแต่ละสายก็จะมีการพูดถึงเรื่องเงินเดือนของสายนั้นๆไว้เสมอจากทั้งรุ่นพี่ี่จบคณะวิศวกรรมศาสตร์ไปทำงานเป็นวิศวกรโยธาเงินเดือนเริ่มต้น30000.-ส่วนรุ่นพี่อีกคนจบจากคณะบัญชีไปทำงานเป็นพนักงานธนาคารเงินเดือนเริ่มต้น20000.-ซึ่งเห็นได้ว่าแต่สายอาชีพนั้นจะมีฐานเงินเดือนเริ่มต้นที่ต่างกันแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้เสมอไปถ้าเราสามารถพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆได้เราก็อาจจะถูกส่งไปทำงานต่างประเทศซึ่งจะเพิ่มเงินเดือนให้เราสูงมาอีกทั้งยังได้เดินทางไปต่างประเทศฟรีอีกด้วยจะเห็นได้ว่าแม้เราจบจากสายที่ฐานเงินเดือนไม่สูงมากแต่ถ้าเรามีความขยันและมีความสามารถเพิ่มเติมเราสามารถเพิ่มเงินเดือนให้ตัวเองได้ง่ายๆ
ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงกรอบของอัตราจ้างที่จะทำให้เราได้เห็นภาพรวมของฐานเงินเดือนว่าเป็นเช่นไรเพื่อให้คุณได้พอมองเห็นตัวเลขที่เราควรจะได้รับถ้าเราทำงานในตำแหน่งเหล่านั้นแต่อย่าลืมว่าเงินเดือนไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายที่จบมาอย่างเดียวยังขึ้นอยู่กับความสามารถของเราอีกด้วยซึ่งทำให้เงินเดือนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ธุรกิจที่สามารถทำให้เงินเดือนเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับประเภทของบริษัทที่เราทำงานตลาดเป็นเช่นไรเศรษฐกิจณตอนนั้นเป็นอย่างไรโดยรวมถึงความสามารถของเราว่ามีมากแค่ไหนที่บริษัทนั้นจะยอมจ่ายเพื่อให้ได้ตัวเรามาร่วมงานและยังมีเหตุผลอีกมากมายหลากหลายอย่างที่ทำให้เงินเดือนเปลี่ยนแปลงไปมาได้
ยกตัวอย่างมีเพื่อน2คนจบมาจากมหาลัยเดียวกันคณะเดียวกันเกรดเฉลี่ยไม่ต่างกันมากได้ทำงานเป็นวิศวกรเหมือนกันแต่คนละบริษัทคนหนึ่งได้เงินเดือน15000ส่วนอีกคนได้เงินเดือน30000ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรเพราะคนหนึ่งทำงานในบริษัทเล็กและเป็นบริษัทของคนไทยส่วนอีกคนทำงานในบริษัทใหญ่อีกทั้งยังเป็นบริษัทของต่างชาติถ้าถามว่าทำไมคนที่ทำงานในบริษัทเล็กถึงไปทำงานในบริษัทใหญ่ที่เป็นของต่างชาติเหตุผลมันง่ายมากๆเพราะไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้นั้นเองทำให้เกิดความกลัวว่าจะทำงานไม่ได้จึงสมัครงานในบริษัทของคนไทยซึ่งจะเห็นได้ว่าเพียงแค่สามารถสื่อสารหรือไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ก็มีผลต่อเงินเดือนที่ได้รับเพราะฉะนั้นจงอย่าลืมหมั่นฝึกฝนความสามารถเพิ่มเติมเพราะความรู้มีให้เรียนรู้อยู่เสมออยู่ที่ว่าเราจะตั้งใจกับมันไหมเท่านั้นเอง
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรเลือกทำงานกับบริษัทใหญ่เพราะว่าบริษัทใหญ่จะมีฐานเงินเดือนที่ชัดเจนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเงินเดือนได้มากเพราะถ้าเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อทั้งระบบซึ่งอาจจะทำให้บริษัทเจ๊งเลยก็ได้ส่วนบริษัทเล็กจะสามารถเปลี่ยนแปลงเงินเดือนได้ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสามารถคล่องของบริษัทช่วงไหนที่บริษัทกำลังขาดทุนอาจจะจำเป็นต้องลดเงินเดือนของพนักงานลงหรืออาจจะถึงต้องไล่พนักงานบางส่วนออกเพื่อคงสภาพของบริษัทต่อไปการเรียกเงินเดือนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเรียกตามฐานเงินเดือนของอาชีพนั้นๆไม่ต่ำหรือสูงจนเกินไปต้องอ้างอิงกับข้อมูลในปัจจุบันซึ่งบางครั้งเราต้องเลือกความมั่นคงของงานมากกว่าเงินเดือนที่ได้รับถ้าให้เลือกระหว่างได้เงินเดือนสูงแต่ทำงานได้3เดือนถูกไล่ออกกับได้เงินเดือนน้อยลงมาหน่อยแต่สามารถทำงานได้เป็นอีก10ปีๆเราก็คงต้องเลือกอย่างหลังเพราะว่าความมั่นคงของเรานั้นสำคัญกว่าการเรียกเงินเดือนขึ้นอยู่กับความต้องการของตัวเราเองว่าเราพอใจตัวเลขประมาณไหนและต้องดูความสามารถของตัวเองด้วยว่ามีความสามารถเหมาะสมกับเงินเดือนที่เรียกไปหรือไม่
ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นตัวช่วยในการหางาน
การสมัครงานทางอินเทอร์เน็ตเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบันและดูท่าว่าจะเป็นที่นิยมไปอีกนานเพราะทั้งผู้สมัครงานและบริษัทต่างให้การยอมรับว่าเป็นวิธีที่สะดวกทั้งสองฝ่ายซึ่งทำให้บริษัทไม่ต้องไปลงทุนเปิดบูธหรือลงโฆษณาตามหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการลงโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตอย่างมากและผู้สมัครก็ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งไม่ต้องไปสมัครงานที่บริษัทโดยตรงซึ่งทั้งเสียเวลาและค่าเดินทางการสมัครงานทางอินเทอร์เน็ตมีอยู่3แบบดังนี้
1.สมัครผ่านทางเว็บไซต์ลงประกาศรับสมัครงาน
เป็นช่องทางที่บริษัทนิยมอย่างมากเพราะว่าจะทำให้ได้คนทำงานได้เร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่ต้องการคนมาทำงานในตำแหน่งที่เจาะจงสามารถลงประกาศแบบพิเศษเพื่อให้ตำแหน่งนั้นเป็นสนใจทางผู้สมัครไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลยในการสมัครงานแบบนี้อีกทั้งยังสามารถเลือกสมัครงานได้หลายๆบริษัทหลายๆตำแหน่งขึ้นอยู่ว่าเรามีความสามารถเพียงพอเท่านั้นเอง
2.สมัครงานผ่านทางอีเมล์
ตามการลงประกาศรับสมัครงานของบริษัทจะมีอีเมล์ให้ส่งใบสมัครงานซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ที่บริษัทนั้นๆระบุไว้ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับผู้สมัครอย่างมากเพราะในอดีตผู้สมัครต้องเดินทางไปส่งใบสมัครด้วยตัวเองหรือต้องส่งทางไปรณีย์ซึ่งมีค่าใช้แต่การส่งใบสมัครทางอีเมล์นั้นไม่มีค่าจ่ายใดๆ
3.สมัครผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท
บางบริษัทจะลงทุนเปิดเว็บไซต์เป็นของตัวเองเพื่อให้ลูกค้าและผู้ที่สนใจมาร่วมงานสามารถติดต่อกับบริษัทได้ง่ายซึ่งบางครั้งเราสามารถสมัครงานผ่านระบบที่เว็บไซต์มีให้ได้เลยทันทีซึ่งเป็นเรื่องมากๆเพราะเราสามารถเป็นลูกค้าของบริษัทนั้นและยังสามารถเป็นผู้ร่วมงานได้ในตัวซึ่งถ้าสนใจเราก็แค่กรอกข้อมูลส่วนตัวและรอเรียกไปสัมภาษณ์เท่านั้นเอง
จะเห็นได้ว่าการสมัครงานทางอินเทอร์เน็ตนั้นช่วยให้การสมัครงานนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้นและเรายังสามารถสมัครงานกับหลายๆบริษัทโดยใช้เวลาไม่นานทำให้เรามีโอกาสที่จะได้รับเลือกถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์งานได้มากกว่าการสมัครงานทีละบริษัทและเมื่อผิดหวังเราก็ต้องมานั่งหาบริษัทใหม่อีก
1.สมัครผ่านทางเว็บไซต์ลงประกาศรับสมัครงาน
เป็นช่องทางที่บริษัทนิยมอย่างมากเพราะว่าจะทำให้ได้คนทำงานได้เร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่ต้องการคนมาทำงานในตำแหน่งที่เจาะจงสามารถลงประกาศแบบพิเศษเพื่อให้ตำแหน่งนั้นเป็นสนใจทางผู้สมัครไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลยในการสมัครงานแบบนี้อีกทั้งยังสามารถเลือกสมัครงานได้หลายๆบริษัทหลายๆตำแหน่งขึ้นอยู่ว่าเรามีความสามารถเพียงพอเท่านั้นเอง
2.สมัครงานผ่านทางอีเมล์
ตามการลงประกาศรับสมัครงานของบริษัทจะมีอีเมล์ให้ส่งใบสมัครงานซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ที่บริษัทนั้นๆระบุไว้ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับผู้สมัครอย่างมากเพราะในอดีตผู้สมัครต้องเดินทางไปส่งใบสมัครด้วยตัวเองหรือต้องส่งทางไปรณีย์ซึ่งมีค่าใช้แต่การส่งใบสมัครทางอีเมล์นั้นไม่มีค่าจ่ายใดๆ
3.สมัครผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท
บางบริษัทจะลงทุนเปิดเว็บไซต์เป็นของตัวเองเพื่อให้ลูกค้าและผู้ที่สนใจมาร่วมงานสามารถติดต่อกับบริษัทได้ง่ายซึ่งบางครั้งเราสามารถสมัครงานผ่านระบบที่เว็บไซต์มีให้ได้เลยทันทีซึ่งเป็นเรื่องมากๆเพราะเราสามารถเป็นลูกค้าของบริษัทนั้นและยังสามารถเป็นผู้ร่วมงานได้ในตัวซึ่งถ้าสนใจเราก็แค่กรอกข้อมูลส่วนตัวและรอเรียกไปสัมภาษณ์เท่านั้นเอง
จะเห็นได้ว่าการสมัครงานทางอินเทอร์เน็ตนั้นช่วยให้การสมัครงานนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้นและเรายังสามารถสมัครงานกับหลายๆบริษัทโดยใช้เวลาไม่นานทำให้เรามีโอกาสที่จะได้รับเลือกถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์งานได้มากกว่าการสมัครงานทีละบริษัทและเมื่อผิดหวังเราก็ต้องมานั่งหาบริษัทใหม่อีก
การสมัครงานด้วยตัวเองที่บริษัท(Walk in)
การหางานในลักษณะนี้เกิดขึ้นหลังจากการสมัครงานผ่านการส่งจดหมายางไปรณีย์แม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมแต่อาจจะนิยมน้อยลงเพราะมีการสมัครงานช่องทางที่สะดวกขึ้นกว่านี้มากสงสัยไหมว่าทำไมการสมัครงานแบบเข้าไปสมัครงานด้วยตัวเองที่บริษัทหรือWalk inจึงเป็นที่นิยมอย่างมากเพราะคิดๆดูแล้วการสมัครงานวิธีนี้ทำให้เสียเวลาและค่าเดินทางไม่น้อยอีกทั้งยังต้องรอคิวอีกคงหงุดหงิดน่าดู
ผู้สมัครงานที่โทรเข้ามาในบริษัทส่วนใหญ่แล้วจะสอบถามเส้นทางมาที่บริษัทฝ่ายHRก็จะบอกว่าให้ส่งใบสมัครงานมาทางอีเมล์จะสะดวกกว่าไม่จำเป็นต้องเสียค่าเดินทางมาที่บริษัทเพราะเป็นแค่การส่งใบสมัครแต่ผู้สมัครงานก็ไม่ยอมจะมาที่บริษัทให้ได้ทำให้ฝ่ายHRหลายต่อหลายคนต้องล้มเลิกความตั้งใจลงไปเพราะว่าไม่มีผู้สมัครคนใดเชื่อว่าการส่งใบสมัครมาทางอีเมล์นั้นดีกว่าเดินมาที่บริษัทโดยตรงด้วยความสงสัยของฝ่ายHRว่าทำไมไม่มีผู้สมัครคนใดเชื่อตามที่ตนบอกดังนั้นเมื่อฝ่ายHRได้รับโทรศัพท์จากผู้สมัครงานคนหนึ่งที่ยืนยันจะมาสมัครงายที่บริษัทโดยตรงจึงได้คำตอบว่าผู้ที่มาสมัครงานโดยตรงกับบริษัทมีโอกาสได้รับเลือกเข้ามาสัมภาษณ์ในวันที่มาสมัครเลยถ้าผู้สัมภาษณ์พร้อมและคิดว่าการมาสมัครงานที่บริษัทนั้นเร็วกว่าการสมัครงานผ่านอินเทอร์เน็ตหรือส่งอีเมล์หรือส่งไปรณีย์อย่างแน่นอนดังนั้นโอกาสในการถูกเรียกเข้ามาสัมภาษณ์งานจึงมากกว่า
เหตุผลข้างต้นนั้นอาจจะฟังดูดีแต่ถ้าเราต้องสมัครงานกับหลายๆบริษัทเราต้องไปทุกบริษัทเลยหรือไม่มันคุ้มหรือป่าวที่เราต้องเสียค่าเดินทางเพียงเพื่อไปส่งใบสมัครและยังไม่แน่ด้วยว่าเราจะได้ถูกเรียกไปสัมภาษณ์งานในวันนั้นถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็คงต้องกลับบ้านโดยมาส่งแค่ใบสมัครเปล่าๆใบหนึ่งและเราก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบริษัทไหนจะรับเราเข้าทำงานมากกว่าเราจะใช้อะไรตัดสินว่าควรไปที่บริษัทหรือส่งใบสมัครทางอื่นดีเหตุผลแรกๆเลยคือโอกาสที่เราจะถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ในวันที่ไปส่งใบสมัครนั้นมีมากน้อยแค่ไหนเราต้องพิจารณาจากหลายๆปัจจัยทั้งตำแหน่งงานนั้นมีผู้สนใจมากน้อยแค่ไหนตำแหน่งงานนั้นเรามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่เป็นต้นแต่โดยทั่วไปแล้วโอกาสมีน้อยมากๆที่เราส่งใบสมัครในวันนั้นแล้วจะถูกเรียกไปสัมภาษณ์ในวันเดียวกันแล้วมันคุ้มไหมกับการที่เราเสียค่าเดินทางไปเพื่อส่งใบสมัคร
แล้วเราจะทำอย่างไรดีเมื่อโอกาสนั้นน้อยมากๆเราก็ต้องหาข้อมูลว่าบริษัทนี้ต้องการรับสมัครตำแหน่งนี้เร่งด่วนหรือไม่ถ้าเร่งด่วนแล้วเรามีความสามารถและคุณสมบัติเพียงพอโอกาสที่เราจะได้รับเลือกเข้าไปสัมภาษณ์ในวันที่ส่งใบสมัครนั้นก็มีสูงทั้งนี้เราก็ต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆด้วยเพราะในปัจจุบันบริษัทต่างๆมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการรับสมัครมากขึ้นทำให้สะดวกต่อคนสมัครงานและบริษัทเองเช่นการลงประกาศรับสมัครงานผ่านเว็บไซต์ประกาศรับสมัครงานหรือลงประกาศผ่านทางหนังสือพิมพ์เป็นต้นเห็นได้ว่ามีทางเลือกอีกมากมายเราไม่จำเป็นต้องสมัครงานแบบWalk inอย่างเดียวถ้าเรามั่นใจว่าเรามีคุณสมบัติและควาสามารถเพียงพอเราก็ไม่จำเป็นสมัครงานแบบWalk inเราอาจจะลงประวัติส่วนตัวไว้แล้วให้บริษัทต่างๆเข้ามาดูเผลอๆบริษัทจะเป็นคนเรียกตัวเราเข้าไปสัมภาษณ์โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร
ผู้สมัครงานที่โทรเข้ามาในบริษัทส่วนใหญ่แล้วจะสอบถามเส้นทางมาที่บริษัทฝ่ายHRก็จะบอกว่าให้ส่งใบสมัครงานมาทางอีเมล์จะสะดวกกว่าไม่จำเป็นต้องเสียค่าเดินทางมาที่บริษัทเพราะเป็นแค่การส่งใบสมัครแต่ผู้สมัครงานก็ไม่ยอมจะมาที่บริษัทให้ได้ทำให้ฝ่ายHRหลายต่อหลายคนต้องล้มเลิกความตั้งใจลงไปเพราะว่าไม่มีผู้สมัครคนใดเชื่อว่าการส่งใบสมัครมาทางอีเมล์นั้นดีกว่าเดินมาที่บริษัทโดยตรงด้วยความสงสัยของฝ่ายHRว่าทำไมไม่มีผู้สมัครคนใดเชื่อตามที่ตนบอกดังนั้นเมื่อฝ่ายHRได้รับโทรศัพท์จากผู้สมัครงานคนหนึ่งที่ยืนยันจะมาสมัครงายที่บริษัทโดยตรงจึงได้คำตอบว่าผู้ที่มาสมัครงานโดยตรงกับบริษัทมีโอกาสได้รับเลือกเข้ามาสัมภาษณ์ในวันที่มาสมัครเลยถ้าผู้สัมภาษณ์พร้อมและคิดว่าการมาสมัครงานที่บริษัทนั้นเร็วกว่าการสมัครงานผ่านอินเทอร์เน็ตหรือส่งอีเมล์หรือส่งไปรณีย์อย่างแน่นอนดังนั้นโอกาสในการถูกเรียกเข้ามาสัมภาษณ์งานจึงมากกว่า
เหตุผลข้างต้นนั้นอาจจะฟังดูดีแต่ถ้าเราต้องสมัครงานกับหลายๆบริษัทเราต้องไปทุกบริษัทเลยหรือไม่มันคุ้มหรือป่าวที่เราต้องเสียค่าเดินทางเพียงเพื่อไปส่งใบสมัครและยังไม่แน่ด้วยว่าเราจะได้ถูกเรียกไปสัมภาษณ์งานในวันนั้นถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็คงต้องกลับบ้านโดยมาส่งแค่ใบสมัครเปล่าๆใบหนึ่งและเราก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบริษัทไหนจะรับเราเข้าทำงานมากกว่าเราจะใช้อะไรตัดสินว่าควรไปที่บริษัทหรือส่งใบสมัครทางอื่นดีเหตุผลแรกๆเลยคือโอกาสที่เราจะถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ในวันที่ไปส่งใบสมัครนั้นมีมากน้อยแค่ไหนเราต้องพิจารณาจากหลายๆปัจจัยทั้งตำแหน่งงานนั้นมีผู้สนใจมากน้อยแค่ไหนตำแหน่งงานนั้นเรามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่เป็นต้นแต่โดยทั่วไปแล้วโอกาสมีน้อยมากๆที่เราส่งใบสมัครในวันนั้นแล้วจะถูกเรียกไปสัมภาษณ์ในวันเดียวกันแล้วมันคุ้มไหมกับการที่เราเสียค่าเดินทางไปเพื่อส่งใบสมัคร
แล้วเราจะทำอย่างไรดีเมื่อโอกาสนั้นน้อยมากๆเราก็ต้องหาข้อมูลว่าบริษัทนี้ต้องการรับสมัครตำแหน่งนี้เร่งด่วนหรือไม่ถ้าเร่งด่วนแล้วเรามีความสามารถและคุณสมบัติเพียงพอโอกาสที่เราจะได้รับเลือกเข้าไปสัมภาษณ์ในวันที่ส่งใบสมัครนั้นก็มีสูงทั้งนี้เราก็ต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆด้วยเพราะในปัจจุบันบริษัทต่างๆมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการรับสมัครมากขึ้นทำให้สะดวกต่อคนสมัครงานและบริษัทเองเช่นการลงประกาศรับสมัครงานผ่านเว็บไซต์ประกาศรับสมัครงานหรือลงประกาศผ่านทางหนังสือพิมพ์เป็นต้นเห็นได้ว่ามีทางเลือกอีกมากมายเราไม่จำเป็นต้องสมัครงานแบบWalk inอย่างเดียวถ้าเรามั่นใจว่าเรามีคุณสมบัติและควาสามารถเพียงพอเราก็ไม่จำเป็นสมัครงานแบบWalk inเราอาจจะลงประวัติส่วนตัวไว้แล้วให้บริษัทต่างๆเข้ามาดูเผลอๆบริษัทจะเป็นคนเรียกตัวเราเข้าไปสัมภาษณ์โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร
คิดไม่ออกจะสมัครงานตำแหน่งอะไรทำยังไงดี
เป็นคำถามที่เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเหมาะสมกับงานอะไรทำให้เกิดปัญหาในการงานอย่างมากเพราะถ้าเราตัดสินผิดพลาดก็ทำให้เสียเวลาในการต้องมาหางานใหม่อีกครั้งทางที่ดีเราต้องรู้ตัวเองตั้งแต่ตอนเรียนว่าตัวเองชอบอะไรอยากทำอะไรเพื่อให้เมื่อเราเรียนจบจะทำให้เราตัดสินใจในการหางานได้ง่ายส่วนใหญ่จะเรียนตามเพื่อนหรือพ่อแม่บังคับทำให้เมื่อต้องออกมาทำงานจริงๆกลับไม่ชอบงานที่ทำและทำได้ไม่ดีอีกด้วยทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
สำหรับในปัจจุบันแม้ว่าเรายังไม่รู้ว่าเราเหมาะสมกับงานประเภทไหนแต่เราก็ยังมีทางออกคือการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลจากหลายๆที่และนำมาประกอบการพิจารณาซึ่งจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าเราเหมาะสมกับงานประเภทไหนดีกว่านั่งอยู่เฉยๆรอโอกาสที่ไม่มีวันมาถึงออกไปหาประสบกาณ์จากคนที่ทำงานจริงๆว่าเขาทำงานกันยังไงเราอาจจะชอบงานนั้นๆก็ได้
สิ่งที่ช่วยในการตัดสินใจในการทำงานมีอยู่สองอย่างคืองานที่ใช่กับงานที่ชอบงานที่ใช่คืองานที่ตรงกับสายที่เรียนมาซึ่งเราอาจจะถูกบังคับให้มาเรียนหรือเรียนตามกระแสก็ตามแต่เราสามารถดูว่างานนั้นเป็นงานที่ใช่สำหรับได้จากประกาศของบริษัทว่าต้องการคุณสมบัติอะไรส่วนงานที่ชอบคือสิ่งที่เราชอบเป็นงานที่ตรงกับสายที่เราจบมาหรือไม่จบมาก็ได้เป็นงานที่แม้เงินเดือนไม่สูงแต่เป็นงานที่เราทำแล้วมีความสุขทำให้มีโอกาสก้าวหน้าได้มากกว่างานที่ใช่เช่นคุณจบวิศวะก็ต้องเป็นวิศวะซึ่งมีมากมายหลากหลายแขนงแต่ถ้าจบวิศวะแต่ไปทำงานบัญชีเพราะจริงๆแล้วชอบงานเกี่ยวกับบัญชีก็จะเรียกว่าทำงานที่ชอบถ้าทำงานวิศวะก็จะเรียกว่าทำงานที่ใช่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายที่เราเรียนมาว่าใช่สิ่งที่เราชอบจริงหรือไม่
ในการสมัครงานถ้าเราสมัครงานเพราะเป็นตำแหน่งที่ใช่โอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าทำงานจะสูงมากเพราะเรามีคุณสมบัติที่เหมาะสมแต่ถ้าเราเลือกสมัครงานในตำแหน่งที่ชอบโอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าทำงานก็จะน้อยลงเพราะเป็นตำแหน่งที่คุณสมบัติของเราไม่ตรงตามความต้องการอาจจะทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรบริษัทจึงไม่อยากเสี่ยงจ้างคุณเข้ามาทำงานและต้องมานั่งหาคนใหม่เพราะคุณลาออกหลายๆคนค้นพบตัวเองว่าเหมาะสมกับงานอะไรได้จากการสมัครในตำแหน่งที่ใช่เพราะเมื่อเราไม่รู้ว่าเราเหมาะสมกับงานอะไรเราก็ต้องลองทำงานสักงานซึ่งบางครั้งงานนั้นอาจจะเป็นงานที่เราชอบมาตลอดแต่เราไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
สุดท้ายนี้อยากให้นักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบรีบค้นหาตัวเองให้เจอว่าตัวเองเหมาะกับงานอะไรและอยากทำงานอะไรเพื่อให้สามารถสมัครงานได้ก่อนใกล้จบเพื่อให้มีโอกาสในการได้รับเลือกเข้าทำงานมากกว่าคนอื่นๆและที่สำคัญต้องเลือกงานที่คิดว่าตัวเองเข้าไปทำแล้วมีความสุขไม่กดดันเวลาทำงาน
สำหรับในปัจจุบันแม้ว่าเรายังไม่รู้ว่าเราเหมาะสมกับงานประเภทไหนแต่เราก็ยังมีทางออกคือการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลจากหลายๆที่และนำมาประกอบการพิจารณาซึ่งจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าเราเหมาะสมกับงานประเภทไหนดีกว่านั่งอยู่เฉยๆรอโอกาสที่ไม่มีวันมาถึงออกไปหาประสบกาณ์จากคนที่ทำงานจริงๆว่าเขาทำงานกันยังไงเราอาจจะชอบงานนั้นๆก็ได้
สิ่งที่ช่วยในการตัดสินใจในการทำงานมีอยู่สองอย่างคืองานที่ใช่กับงานที่ชอบงานที่ใช่คืองานที่ตรงกับสายที่เรียนมาซึ่งเราอาจจะถูกบังคับให้มาเรียนหรือเรียนตามกระแสก็ตามแต่เราสามารถดูว่างานนั้นเป็นงานที่ใช่สำหรับได้จากประกาศของบริษัทว่าต้องการคุณสมบัติอะไรส่วนงานที่ชอบคือสิ่งที่เราชอบเป็นงานที่ตรงกับสายที่เราจบมาหรือไม่จบมาก็ได้เป็นงานที่แม้เงินเดือนไม่สูงแต่เป็นงานที่เราทำแล้วมีความสุขทำให้มีโอกาสก้าวหน้าได้มากกว่างานที่ใช่เช่นคุณจบวิศวะก็ต้องเป็นวิศวะซึ่งมีมากมายหลากหลายแขนงแต่ถ้าจบวิศวะแต่ไปทำงานบัญชีเพราะจริงๆแล้วชอบงานเกี่ยวกับบัญชีก็จะเรียกว่าทำงานที่ชอบถ้าทำงานวิศวะก็จะเรียกว่าทำงานที่ใช่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายที่เราเรียนมาว่าใช่สิ่งที่เราชอบจริงหรือไม่
ในการสมัครงานถ้าเราสมัครงานเพราะเป็นตำแหน่งที่ใช่โอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าทำงานจะสูงมากเพราะเรามีคุณสมบัติที่เหมาะสมแต่ถ้าเราเลือกสมัครงานในตำแหน่งที่ชอบโอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าทำงานก็จะน้อยลงเพราะเป็นตำแหน่งที่คุณสมบัติของเราไม่ตรงตามความต้องการอาจจะทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรบริษัทจึงไม่อยากเสี่ยงจ้างคุณเข้ามาทำงานและต้องมานั่งหาคนใหม่เพราะคุณลาออกหลายๆคนค้นพบตัวเองว่าเหมาะสมกับงานอะไรได้จากการสมัครในตำแหน่งที่ใช่เพราะเมื่อเราไม่รู้ว่าเราเหมาะสมกับงานอะไรเราก็ต้องลองทำงานสักงานซึ่งบางครั้งงานนั้นอาจจะเป็นงานที่เราชอบมาตลอดแต่เราไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
สุดท้ายนี้อยากให้นักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบรีบค้นหาตัวเองให้เจอว่าตัวเองเหมาะกับงานอะไรและอยากทำงานอะไรเพื่อให้สามารถสมัครงานได้ก่อนใกล้จบเพื่อให้มีโอกาสในการได้รับเลือกเข้าทำงานมากกว่าคนอื่นๆและที่สำคัญต้องเลือกงานที่คิดว่าตัวเองเข้าไปทำแล้วมีความสุขไม่กดดันเวลาทำงาน
เตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนไปงานนัดพบแรงงาน
การเตรียมตัวที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับวันนัดพบแรงงานสำหรับคนหางานนั้นก็คือการเตรียมเอกสารประกอบการรับสมัครงานแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยๆก็จริงแต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพราะถ้าเราไม่มีเอกสารที่จะใช้ประกอบการรับสมัครงานแล้วเราก็ไม่สามารถสมัครงานได้อย่างแน่นอนออย่างที่เราบอกไปในบทความที่ผ่านมาว่าบริษัทที่มาออกงานนั้นมีอยู่มากแล้วเราก็คงจำไม่ได้ว่าแต่ละบริษัทที่เราต้องส่งใบสมัครนั้นต้องการเอกสารอะไรบ้างมากน้อยแค่ไหนเพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมเอกสารให้มากเพียงพอทั้งรูปถ่ายหลักฐานการศึกษาสำเนาบัตรประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านและที่สำคัญที่สุดคือประวัติส่วนตัว
ประวัติย่อหรือResumeเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อให้ยื่นให้บริษัทประกอบการพิจารณาเพราะบริษัทส่วนใหญ่ต้องการโดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆถึงแม้ว่าจะไม่มีการประกาศว่าต้องมีประวัติส่วนตัวก็ตามเราก็สามารถแนบไปในใบสมัครเพื่อให้บริษัทรู้จักเรามากยิ่งขึ้นเป็นการเพิ่มโอกาสที่เราจะได้รับเลือกเข้าทำงานมากกว่าผู้สมัครงานคนอื่นๆ
ที่เราจำเป็นต้องเตรียมเอกสารให้มากเพียงพอเพราะเราจะไม่รู้เลยว่าเราจะเจอบริษัทและตำแหน่งงานที่เราต้องมากแค่ไหนถ้าเกิดเอกสารเราไม่พอโอกาสที่เราจะสมัครงานก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะฉะนั้นทางที่ดีเราต้องเตรียมเอกสารให้เพียงพอและต้องเก็บเอกสารให้ดีไม่ยับเพราะเป็นเอกสารที่เราต้องส่งให้บริษัทไปพิจารณาถ้าเอกสารเรามีการผิดพลาดอะไรขึ้นมาอาจจะทำให้บริษัเข้าใจผิดทำให้โอกาสในการได้รับเลือกเข้าทำงานของเราก็น้อยลงแต่ถ้าเอกสารเราไม่พอจริงๆเราก็สามารถถ่ายเอกสารในงานได้แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าราคานั้นแพงกว่าปกติมากอย่างน้อย A4 ก็หน้าละ3บาทเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าแถวนั้นไม่มีที่ถ่ายเอกสารทำให้สามารถตั้งราคาสูงๆได้และที่สำคัญคิวนั้นจะยาวมากๆอาจจะทำให้เราส่งเอกสารไม่ทันก็เป็นได้สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือความถูกต้องของเอกสารเราต้องตรวจสอบว่าใบสมัครของเรานั้นเขียนอะไรผิดหรือไม่และเอกสารอย่างเช่นสำเนาทะเบียนบ้านสำเนาบัตรประชาชนนั้นหมดอายุหรือยังเพราะถ้าเราส่งเอกสารไปแล้วเราไม่สามารถขอคืนได้เพราะบริษัทก็ได้รับเอกสารมากอยู่แล้วถ้าต้องมานั่งหาเอกสารที่ผิดพลาดของเราอาจจะทำให้เอกสารของคนอื่นหายก็เป็นได้และที่สำคัญต้องเซ็นกำกับเอกสารที่เราส่งให้บริษัทด้วยเพื่อความปลอดภัยของเราเองที่บริษัทจะได้ไม่เอาเอกสารไปใช้ในทางที่ผิดหรือในสิ่งที่เราไม่อนุญาต
ประวัติย่อหรือResumeเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อให้ยื่นให้บริษัทประกอบการพิจารณาเพราะบริษัทส่วนใหญ่ต้องการโดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆถึงแม้ว่าจะไม่มีการประกาศว่าต้องมีประวัติส่วนตัวก็ตามเราก็สามารถแนบไปในใบสมัครเพื่อให้บริษัทรู้จักเรามากยิ่งขึ้นเป็นการเพิ่มโอกาสที่เราจะได้รับเลือกเข้าทำงานมากกว่าผู้สมัครงานคนอื่นๆ
ที่เราจำเป็นต้องเตรียมเอกสารให้มากเพียงพอเพราะเราจะไม่รู้เลยว่าเราจะเจอบริษัทและตำแหน่งงานที่เราต้องมากแค่ไหนถ้าเกิดเอกสารเราไม่พอโอกาสที่เราจะสมัครงานก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะฉะนั้นทางที่ดีเราต้องเตรียมเอกสารให้เพียงพอและต้องเก็บเอกสารให้ดีไม่ยับเพราะเป็นเอกสารที่เราต้องส่งให้บริษัทไปพิจารณาถ้าเอกสารเรามีการผิดพลาดอะไรขึ้นมาอาจจะทำให้บริษัเข้าใจผิดทำให้โอกาสในการได้รับเลือกเข้าทำงานของเราก็น้อยลงแต่ถ้าเอกสารเราไม่พอจริงๆเราก็สามารถถ่ายเอกสารในงานได้แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าราคานั้นแพงกว่าปกติมากอย่างน้อย A4 ก็หน้าละ3บาทเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าแถวนั้นไม่มีที่ถ่ายเอกสารทำให้สามารถตั้งราคาสูงๆได้และที่สำคัญคิวนั้นจะยาวมากๆอาจจะทำให้เราส่งเอกสารไม่ทันก็เป็นได้สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือความถูกต้องของเอกสารเราต้องตรวจสอบว่าใบสมัครของเรานั้นเขียนอะไรผิดหรือไม่และเอกสารอย่างเช่นสำเนาทะเบียนบ้านสำเนาบัตรประชาชนนั้นหมดอายุหรือยังเพราะถ้าเราส่งเอกสารไปแล้วเราไม่สามารถขอคืนได้เพราะบริษัทก็ได้รับเอกสารมากอยู่แล้วถ้าต้องมานั่งหาเอกสารที่ผิดพลาดของเราอาจจะทำให้เอกสารของคนอื่นหายก็เป็นได้และที่สำคัญต้องเซ็นกำกับเอกสารที่เราส่งให้บริษัทด้วยเพื่อความปลอดภัยของเราเองที่บริษัทจะได้ไม่เอาเอกสารไปใช้ในทางที่ผิดหรือในสิ่งที่เราไม่อนุญาต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)